" />

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 4 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 3]

หลังจากที่จบเนื้อหาบทนำของเนื้อเรื่องฝั่ง U.B.C.S. ไปในบทความที่แล้ว >> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 4 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 2]

เนื้อเรื่องก็วกกลับเข้ามาดูทางฝั่งพวกโนบิตะกันบ้าง




ในภาค 4 นี้พวกโนบิตะจะมีบทบาทอะไรกันบ้างน้า..... ชักน่าสนใจซะแล้วสิ

==================================================================

บทที่ 3

หวนคืนสู่บ้านเกิด


ณ ที่อำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดไซตามะ  ที่บ้านพักชั่วคราวของพวกโนบิตะ


พวกเด็กๆเหล่าตัวเอกทั้ง 9 คนร่วมต่อสู้กับพวกอัมเบรล่ามาเป็นเวลาเนิ่นนานพอสมควร...และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

เดคิสุงิได้เปิดประเด็นการประชุมขึ้น..






เซย์นะบอกข่าวเกี่ยวกับเมืองบ้านเกิดของพวกเธอ ว่าตอนนี้พวกทหารและตำรวจที่คอยเฝ้าระวัง-ชายแดนเมืองของพวกเราจะมีจำนวนน้อยลงแล้ว วันนี้จึงเป็นโอกาสดีทีเดียวที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองบ้านเกิดอีกครั้ง


โดราเอม่อนเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำมาต้องไม่เสียเปล่า...พวกเขารอจนถึงวันนี้โดยเฉพาะ


เซย์นะเริ่มเล่าข้อมูลย้อนความว่าตอนที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เมือง R นั้น พวกเธอกลับไม่ได้อะไรออกมาสักเท่าไหร่ แถมเมืองก็ถูกทำลายไปเพราะพวกอัมเบรล่าได้ทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง


ไจแอนท์พูดเสริมขึ้นมาว่าแต่อย่างน้อยพวกเขาก็รู้อยู่อย่างคือ เมืองบ้านเกิดของพวกเขาที่มีห้องทดลองลับซ่อนอยู่ยังไม่ถูกทำลายทั้งหมด เหมือนที่อัมเบรล่าเคยทำในเมือง R เพราะสาเหตุบางอย่าง พวกเขาควรจะย้อนกลับไปที่เมืองนั้นอีกครั้ง


ซูเนโอะก็ลองพูดเสนอขึ้นมาว่า ถ้าได้กลับบ้านเกิดก็น่าจะลองไปแวะสำรวจที่บ้านโนบิตะดูก่อนดีกว่าไหม เผื่อว่าจะบังเอิญเจอของวิเศษอะไรเหลือไว้บ้าง


โนบิตะก็พูดขึ้นมาว่าถ้าพูดถึงของวิเศษนอกเหนือจากของในกระเป๋าโดราเอม่อนแล้ว ก็น่าจะเป็นเครื่องย้อนเวลาที่เรียกว่า ไทม์แมชชีน (Time Machine - タイムマシン)


ถ้าหากว่ามีไทม์แมชชีนล่ะก็..


เดคิสุงิพูดเสริมว่า มันช่วยไม่ได้เหมือนกันที่ตอนนั้นพวกเขาไม่มีโอกาสได้กลับไปสำรวจที่ไทม์แมชชีนเลย เพราะต้องเอาตัวรอดกันก่อน


เซย์นะพูดขึ้นมาว่า พวกเราทุกคนต่างก็พยายามกันสุดๆเพื่อเอาตัวรอดในตอนนั้น


และตอนนั้นเองที่เซย์นะรู้สึกเอะใจว่า.. เอ๋ ไทม์แมชชีน? ของแบบนั้นมันมีอยู่จริงๆด้วยงั้นเหรอคะ?


ไจแอนท์ตอบด้วยเสียงตะคอกว่า มีอยู่จริงๆสิคุณเซย์นะ!...พวกเราใช้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว!


เมื่อเซย์นะได้ยินเสียงตะคอกเช่นนั้นก็ทำเอาเธอใจคอไม่ค่อยดี  โดราเอม่อนจึงบอกไจแอนท์ว่า ของแบบนั้นเป็นของจากโลกอนาคต ไม่แปลกหรอกที่เธอคนนี้จะไม่เคยเห็น


ไจแอนท์จึงกล่าวขอโทษเซย์นะที่ดูเหมือนว่าตนจะใส่อารมณ์มากไปหน่อย


ไจแอนท์เองได้เริ่มต้นพูดขึ้นมาว่า..ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนนั้นก็ผ่านมาได้ 2 ปีแล้วนะ ยังรู้สึกเหมือนกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานอยู่เลย

(คำพูดนี้ทำให้เรารู้ว่า พวกโดราเอม่อนและโนบิตะต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายและต่อสู้กับพวกอัมเบรล่ามาเป็นเวลานานกว่า 2 ปีเลยทีเดียว นับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับเด็กๆอย่างพวกเขามาก และดูเหมือนว่าอัมเบรล่าก็ยังคงมีตัวตนอยู่จนถึงทุกวันนี้เพราะไม่มีใครสามารถเอาผิดได้ด้วย)


"นั่นสินะคะ"

เซย์นะเอ่ยซ้ำ เรื่องราวฝันร้ายที่เกิดขึ้นช่างยาวนานพอดู แต่พอรู้สึกอีกที เวลามันก็ผ่านไปไวเช่นเดียวกัน


ในช่วงนั้นโนบิตะก็เริ่มสงสัยว่า แล้วชิสุกะจังล่ะ...? ไม่ได้มาเข้าประชุมกับพวกเราตอนนี้เหรอ


เซย์นะตอบว่า เธอขอไปทำธุระส่วนตัวสักแปปนึง


อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา...ล่ะนะ


ไจแอนท์ก็พูดย้ำว่า เฮ้ย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ


ซูเนโอะก็เสริมขึ้นมาว่า เธอน่ะสุดยอดจะตายไป...


หลังจากที่หลุดหัวข้อประชุมมากขึ้นเรื่อยๆ เดคิสุงิเปิดประเด็นลากทุกคนให้กลับเข้ามายังเนื้อหาการประชุมอีกครั้ง


จากนั้นเดคิสุงิก็เริ่มร่ายคาถาการประชุมยาวเกี่ยวกับข้อมูลและข้อสันนิษฐานต่างๆที่เกิดขึ้นว่า สาเหตุที่พวกอัมเบรล่าถึงไม่ได้ลงนิวเคลียร์ใส่เมืองบ้านเกิดของพวกเขาเหมือนกับที่เมือง R และเมืองก่อนหน้านั้น (ในภาค 3) อาจจะเป็นไปได้ว่า พวกเขามีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องใช้เมืองของเราในการดำเนินแผนการอื่นๆต่อ ถึงแม้ว่าห้องทดลองหลักที่ซ่อนภายในเมืองจะถูกทำลายไปแล้วก็ตาม...ดังนั้น หากจะกลับเข้าไปในเมืองของเราก็ไม่ควรประมาท เพราะพวกอัมเบรล่าต้องอยู่ที่นั่นเต็มไปหมด




ไจแอนท์ก็บอกว่า ยังไงก็เป็นแบบนั้นแหละ... ลุยมันเข้าไปเลย...


จากนั้นเดคิสุงิก็เริ่มคิดถึงประเด็นที่ซูเนโอะพูดไว้ว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกลับไปสำรวจภายในบ้านของโนบิตะบนชั้น 2 ที่คาดว่าจะมีไทม์แมชชีนอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะก่อน...


และที่สำคัญคือพวกเขาจะต้องคุ้มครองโดราเอม่อนให้ไปถึงที่นั่นให้ได้ เพราะเขาคือตัวแปรสำคัญที่จะช่วยโลกใบนี้ ถ้าหากเขาเข้าถึงไทม์แมชชีนได้ เราก็ชนะ


เอ๋??

โนบิตะกับยาสุโอะรู้สึกสงสัยไม่น้อยว่าการที่ไปส่งโดราเอม่อนจนถึงไทม์แมชชีนจะทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะได้อย่างไร


หรือแม้แต่ตัวโดราเอม่อนเองก็ยังงงๆอยู่บ้าง....  แต่สักพัก...ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้..

หรือว่า เดคิสุงิคุงจะ....


เดคิสุงิบอกไว้ว่า เพราะโดราเอม่อนเป็นผู้ที่ใช้ไทม์แมชชีนข้ามเวลามาจากโลกในศตวรรษที่ 22 หรือเรียกๆง่ายคือ ผู้ที่มาจากโลกอนาคต  เราจะส่งเขาย้อนเวลากลับไปเอากระเป๋า 4 มิติ (4 Dimensions Pocket - 4 次元ポケット) ได้ก่อนที่กระเป๋าจะถูกทำลาย


ด้วยพลังจากของวิเศษที่อยู่ในกระเป๋า 4 มิติของเขา เราจะสามารถชนะอัมเบรล่าได้อย่างง่ายดาย


และเมื่อไม่มีอัมเบรล่า...อนาคตของพวกเราก็คงจะ........


แต่เดคิสุงิพยายามไม่พูดต่อ เพราะดูเหมือนเขาเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อน..สีหน้าที่ดูมีความหวังเริ่มกลับไปทำหน้าเครียดตามเดิม

ไจแอนท์พยักหน้าราวกับเข้าใจเรื่องราวต่างๆ


ซูเนโอะเห็นสีหน้าของเดคิสุงิที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงเริ่มเอะใจในสิ่งที่เดคิสุงิค้างไว้ ซึ่งเขาเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของ... แล้วพวกเราในปัจจุบันตอนนี้ล่ะ มันจะเปลี่ยนไปงั้นเหรอ?  เพราะเขาเองก็มีข้อสงสัยว่าตัวตนของพวกเขาตอนนี้จะเป็นอย่างไร... ถ้าไม่มีอัมเบรล่า พวกเขาจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็จริง แต่ว่า..ตัวตนของพวกเขาตอนนี้ล่ะ...จะหายไปหรือเปล่า หรือว่าการเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตทำได้แค่เพียง....


โดราเอม่อนเข้าใจในสิ่งที่ซูเนโอะพยายามจะสื่อและพูดขึ้นมาว่า...การเปลี่ยนแปลงอดีตนั้นไม่ได้ทำให้ตัวตนของพวกเขาไม่หายไปหรอก...เพราะว่าถึงเขาจะกลับไปจัดการอัมเบรล่าด้วยของวิเศษได้  แต่ที่นี่จะกลายสภาพเป็น "โลกคู่ขนาน" หรือ "พาราเรลเวิร์ล (Parallel World パラレルワールド)"* ไปแล้ว ปัจจุบันที่พวกเขาเผชิญหน้ากับโลกอันโหดร้ายยังคงอยู่ แต่ตัวตนที่ถูกส่งไปอดีตจะไม่สามารถย้อนกลับมาที่นี่ได้อีกต่อไป (เรียกได้ว่าใครก็ตามที่ถูกย้อนกลับไปจะไม่สามารถกลับมาเชื่อมต่อโลกนี้ได้อีก)

*ข้อมูลเกี่ยวกับการย้อนอดีตและพาราเรลเวิร์ลมีหลายทฤษฎีและสร้างความมึนงงให้คนเขียนบล็อกมาก เอาเป็นว่าต่อให้มีรูปแบบเยอะแยะแค่ไหน คนสร้างเกมส์เขาก็ใช้รูปแบบนี้เป็นหลัก

เดคิสุงิพูดว่า...ก็ดีแล้วนะ
ซึ่งทำให้ทุกคนตกใจมาก...


ถ้าอนาคตมันเปลี่ยนไปได้ อย่างน้อยก็ทำให้โลกอื่นๆคู่ขนานนั้นมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อนาคตที่สดใส โลกใบนี้น่ะมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว...


เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ความหวังออกจากปากเดคิสุงิ หลายคนในกลุ่มตอนนั้นไม่พอใจมาก

"เดคิสุงิ!! นี่นาย/เธอ..."


 จริงอยู่ที่การทำให้อนาคตโลกอื่นไม่ต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีและควรทำ แต่พวกเขาที่อยู่ในไทม์ไลน์ของโลกใบนี้ล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว พวกเขาจะต่อสู้กันมาจนถึงป่านนี้เพื่ออะไร...คำพูดที่สิ้นหวังเช่นนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดออกมามากที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นความจริงแค่ไหนก็ตาม...

"ขะ ขอโทษนะ ที่พูดแบบนั้นออกไป"



"ทุกอย่างยังไม่จบสักหน่อยนะ เดคิสุงิ! แต่ยังไงก็ตาม โดราเอม่อนเองก็เป็นเพื่อนพวกพ้องคนสำคัญของเราเหมือนกัน เราจะปกป้องเขาเอง!!"


โนบิตะก็พูดขึ้นมาว่า ถ้ายังมีโดราเอม่อนกับทุกคนอยู่ล่ะก็ พวกเขาจะต้องผ่านเรื่องเลวร้ายแบบนี้ไปด้วยกันได้แน่นอน และต่อจากนี้ เขาก็ไม่ต้องการให้โดราเอม่อนมาปกป้องเขาอีกแล้วตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พวกเขาทุกคนต่างก็ฝึกฝนตนเองมากขึ้นจนสามารถอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายใบนี้ได้ถึง 2 ปีเต็ม


"ครั้งนี้แหละ ฉันจะเป็นคนปกป้องโดราเอม่อนเอง"


"โนบิตะคุง...."

โดราเอม่อนรู้สึกซาบซึ้งแทบน้ำตาไหล ไม่อยากเชื่อเลยว่า เจ้าห่วยในตอนนั้นได้เติบโตมาได้จนถึงขนาดนี้


ซูเนโอะพูดว่า..."ยังไงก็แล้วแต่...อย่าให้ใครคนใดคนนึงตายละกัน...!!. เอาเป็นว่าฉันก็ขอร่วงวงด้วยคน!! "


เซย์นะบรรจุกระสุนใส่ปืนพกพร้อมกับพูดอย่างแน่วแน่ว่า

"พวกเราเองก็ผ่านประสบการณ์เฉียดตามาตั้งหลายครั้งแล้ว...แต่ก็รอดตายมาได้ทุกครั้ง"


"และคราวนี้แหละที่ทุกอย่างจะต้องจบลง..."


ในตอนนั้นยาสุโอะที่พึ่งเข้ามาในห้องได้เห็นท่าทางคึกคักของแต่ละคน ก็พูดขึ้นมาว่า

"เฮ้!! ฉันขอร่วมวงด้วยคนเซ่ ถ้าพวกนายไปที่ไหน ฉันก็จะตามไปที่นั่นด้วย!!"


เมื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้กำลังใจคืนมาอีกครั้ง เดคิสุงิจึงรู้สึกดีขึ้น ในตอนนี้เขายังคงยืนยันเรื่องที่จะพาพวกเพื่อนๆทุกคนกลับเข้าไปที่เมืองบ้านเกิดของพวกเขาตามเดิม...

"นี่เป็นโอกาสเดียวของเราที่จะลอบเข้าเมืองได้...ต่อจากนี้ ที่เหลือก็แค่....รอคุณโอทากะติดต่อกลับมาเท่านั้น..."


การประชุมของพวกเขาจึงจบลง....

ตอนนี้พวกเขาพร้อมที่จะกลับไปยังเมืองบ้านเกิดของตนแล้ว....


======================================================================

เขตชายแดนเมืองบนทุ่งหญ้าซุซุกิ ห่างออกไปจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร....


ณ ที่แห่งนั้น มีชาย 2 คนอยู่ในชุดเครื่องแบบคล้ายทหารถืออาวุธยืนประจำการอยู่ที่รั้วเขตแดนเมือง...

".....ว่างจัง"

นายทหาร (คนซ้าย) ที่มีชื่อว่า "คาชิวางิ (Kashiwagi - 柏木)" เปรยออกมา... เขารู้สึกเบื่อมากที่ต้องมายืนเฝ้าประจำการที่เขตชายแดนเมืองแห่งนี้...


"จ่า*...ทำไมเราถึงต้องมายืนเฝ้าในที่แบบนี้ด้วยเนี่ย ใช้กล้องวงจรปิดแทนไม่ได้เหรอ?"


คาชิวางิพูดถามนายทหารระดับหัวหน้าที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ซึ่งก็คือ "โอทากะ"

หากใครลืมหมอนี่ไปแล้วให้ย้อนกลับไปอ่านใหม่ในภาค 2 ซึ่งเขาปรากฏตัวครั้งแรกในบทความนี้
>>> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 2 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 8]

โอทากะคือ 1 ในเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งมาแก้ไขสถานการณ์วิกฤติในเมือง R เมื่อ 2 ปีก่อนและร่วมผจญภัยพร้อมกับพวกโนบิตะ อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาจากเมืองนรกก่อนที่จะถูกนิวเคลียร์ลบหายไปจากแผนที่ ปัจจุบันเขาได้เลื่อนยศขึ้นมาเป็น จ่าสิบโท* แล้ว


二等陸曹 < nitourikusou < อันนี้เทียบภาษาอังกฤษตรงตัวเป็น = Sergeant First Class = เทียบภาษาไทยตรงตัวคือ จ่าสิบโท....

โอทากะก็บอกว่า อย่าบ่นนักเลยน่า


คาชิวางิรู้สึกเซ็งมากและยังคงบ่นไม่เลิกต่อไปว่า มันจะมีใครผ่านมาแถวนี้กันบ้างล่ะครับ อู้นิดหน่อยไม่เป็นไร ยังไงก็ไม่มีคนผ่านที่นี่อยู่แล้ว


โอทากะได้บอกคาชิวางิไปว่าที่ทุ่งซุซุกิแห่งนี้เป็นจุดเกิดเหตุการณ์หายนะปริศนาเป็นที่แรกเลยนะ เนื่องจากเป็นจุดเกิดเหตุจะต้องมีการป้องกันอย่างเข้มงวดยังไงล่ะ


คาชิวางิก็บอกไปว่า อ๋อ ไอ้ที่มีข่าวลือเกี่ยวกับโรคกินคนเหรอครับ? แต่นั่นมันก็ผ่านมา 2 ปีแล้วนะครับ


มันก็แค่เรื่องเล่ากันปากต่อปากของพวกชาวเมืองน่ะครับ จนถึงป่านนี้ผมก็คิดว่าคงไม่มีใครคิดที่จะเข้ามาที่นี่หรอกครับ


แล้วคาชิวางิก็ฮัมเพลงแก้เบื่อไปพลางๆ


ตุ้บ!!!!

ตอนนั้นเองก็มีร่างของใครคนนึงปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้ต่อหน้าพวกเขา


"เฮ้ย!! นั่นใคร!! มาทำอะไรในที่แบบนี้!!!"

คาชิวางิรีบจับอาวุธพร้อมกับเดินหน้าเข้าไปสำรวจคนๆนั้น ดูเหมือนว่าการเฝ้ายามของคาชิวางิจะมีเรื่องตื่นเต้นให้ทำซะแล้วสิ...


คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาคือเด็กสาวผมสีน้ำตาลมัดแกละ สวมเสื้อสีชมพู.......ชิสุกะจัง นั่นเอง...

"อ่า...ขอโทษนะคะ คือบังเอิญว่าหนูหลงทางมาน่ะค่ะ"


"หนูพึ่งจะมาแถวนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นก็..."

ในช่วงนั้นเองชิสุกะก็แอบส่งสายตาไปทางโอทากะ ทำให้โอทากะรู้และเข้าใจเรื่องทั้งหมด....


"หลงทางเรอะ? แถวนั้นก็มีเส้นทางรถจักรยานไม่ใช่หรือไงน่ะ?"


หลังจากนั้นคาชิวางิก็อธิบายว่า ให้เดินวนกลับไปที่ที่เธอมาซะ!! เพราะว่าที่นี่มันเขตอันตรายห้ามเขาเด็ดขาด!!!


โอทากะกำลังคิดบางอย่างในใจก่อนตัดสินใจพูดออกมา...


"นี่ คาชิวางิ นายช่วยเดินไปส่งคุณหนูคนนี้ที่ถนนใหญ่ทีสิ..."


"จะ..จ่า...แต่ว่าผมต้อง..."


"เอาน่า แค่ฉันคนเดียวไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยนายก็จะได้พักจากการยืนนิ่งบ้างสักชั่วโมงนึงก็ยังดี แล้วก็นะ นี่เป็นคำสั่ง..."


"เหะๆๆๆๆ ถ้าเป็นคำสั่งก็ช่วยไม่ได้น้า...!!!"

ดูเหมือนว่าเป็นไปตามที่โอทากะคาดไว้


"เอ้า! แม่หนูน้อย เดี๋ยวฉันจะพาไปส่งเธอที่ถนนใหญ่นั่นก็แล้วกัน"


"ค...ค่ะ"


แล้วคาชิวางิก็เดินนำชิสุกะออกไป....


โดยมีสายตาของโอทากะมองไล่ตามลับหลัง และในที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็เดินหายลับไปจากสายตา

"เฮ้อ....."


จากนั้นโอทากะจึงหันไปมองพุ่มไม้อีกด้านหนึ่ง

"ทางสะดวก...ออกมาได้แล้วล่ะ.."


ไม่นานนัก เด็กๆทั้ง 7 คนก็เดินออกมาจากพุ่มไม้มาปรากฏตัวต่อหน้าโอทากะ ซึ่งได้แก่ โนบิตะ เดคิสุงิ โดราเอม่อน เซย์นะ ซูเนโอะ ไจแอนท์ และยาสุโอะ (ส่วนเคนจินั้นดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ตามเข้ามาด้วย...)

ใช่แล้ว โอทากะกำลังให้ความช่วยเหลือพวกโนบิตะในการลักลอบเข้าไปในเมือง


"คุณโอทากะ..."

โนบิตะรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นหน้าของโอทากะอีกครั้ง


"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เจ้าหนู....ตั้งแต่ตอนนั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้วนะ...พอเห็นหน้าเธอทีไรฉันก็ยังอดรู้สึกเสียใจไม่ได้สักที..."


สีหน้าของโอทากะดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเซย์นะพอจะเข้าใจสิ่งที่โอทากะรู้สึก เธอจึงได้พูดออกมาว่า..

"คุณโอทากะ ยังไม่ลืมพวกคุณหัวหน้า (ฮารุนะ) กับคุณโรวฮะในตอนนั้นสินะคะ..."


โอทากะกำหมัดแน่น และตัวสั่น
"โรวฮะ...ผู้พันฮารุนะ....ชื่อนี้มัน.....ช่างคิดถึงเหลือเกิน..."


ตอนนั้นเองโอทากะก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนกลับมาเป็นปกพร้อมกับมองหันหลังไปยังรั้วกั้นเขต เขาบอกไว้ว่า...พวกเธอตัดสินใจดีแล้วสินะที่จะทำแบบนี้ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าหากเขาไปแล้วจะเกิดเรื่องอะไรร้ายๆขึ้นบ้างหรือเปล่าและมันคงอันตรายน่าดู


"ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ควรจะรีบปีนรั้วเข้าไป.. ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า"


ก่อนเข้าไป โอทากะก็ย้ำอีกครั้งว่า ข้างในนั้นมันอันตรายมากและไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีตัวอะไรแปลกๆดักรออยู่ เขาคงให้ความช่วยเหลือพวกเธอได้มากที่สุดแค่นี้


"ที่สำคัญคือ...อย่าตายนะ...... อย่าให้คุณหนูที่เป็นนกต่อคนนั้นเสียใจกับพวกนายเด็ดขาด"


"เข้าใจแล้วครับ"


หลังจากนั้น พวกพ้องของโนบิตะที่เหลือก็ทะยอยปีนข้ามรั้วเข้าไปด้านในเขตห้วงห้ามทีละคน ทีละคน


จนเหลือแค่โนบิตะกับโอทากะเพียง 2 คน


"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องกลับมาให้ได้นะ..."


".....แล้วก็ระวังตัวด้วยล่ะ"


"เข้าใจแล้วครับ...ถ้างั้น..ไปก่อนนะครับ..."


แล้วโนบิตะก็ปีนข้ามรั้วเป็็นคนสุดท้ายก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน


โอทากะมองดูเด็กพวกนั้นส่งท้าย เขาไม่อาจจะพูดอะไรมากกับเด็กพวกนั้นในเวลาเช่นนี้.. เขาบอกว่า...ตัวเขาเองก็อยากจะตามไปช่วยเหลือพวกเด็กๆด้วย แต่ว่าหน้าที่ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถปลีกตัวไปช่วยเหลือเด็กๆได้ แค่ติดต่อกับเด็กพวกนั้นก็เสี่ยงเต็มทีแล้ว

โอทากะได้แต่ข่มความรู้สึกเจ็บปวดไว้ในใจ และภาวนาให้เด็กๆพวกนั้นสามารถหาทางช่วยเหลือโลกใบนี้ได้....โดยเฉพาะเด็กชายสวมแว่นตาคนนั้น...

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แม้จะรู้ความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงตัวการที่ก่อให้เกิดเรื่อง แต่ว่าตัวเขา กลับทำอะไรไม่ได้เลย....


จากนั้นโอทากะก็เริ่มพูดถึงเรื่องการปลดระวางจากหน้าที่นี้ เขาพูดงึมงำกับตัวเองว่า..

"เราจะเกษียณดีไหมนะ? แต่ถ้าเกิดลาออกไปคงไม่มีอะไรกินแน่ๆ"


"จะบอกแม่ว่า [ผมจะเป็นนี้ทอยู่กับบ้านนะครับ!] ก็คงไม่ได้ด้วย"




ชะตากรรมของโลกคงต้องฝากไว้ที่เด็กพวกนั้นแล้วล่ะ....



โปรดติดตามตอนต่อไปที่ >> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 4 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 4]

แสดงความเห็นบน Facebook!

2 ความคิดเห็น :

  1. ไม่ระบุชื่อ18 กันยายน 2556 เวลา 01:08

    เดี๋ยวนะ ชิสุกะมาเป็นแค่ตัวล่อแต่ไม่ได้ตามเข้าไปด้วย เดี๋ยวก็คงจะหายไปจากเนื้อเรื่องอีกแล้วสินะ อา..ชิสุกะ เธอนี่ช่างไร้ตัวตนจริงๆเบย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตามนั้นแหละ ไม่เข้าใจคนเขียนเรื่องจริงๆ ชอบทำใหิสุกะหายอยู่เรื่อย

      ลบ