" />

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 2 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 1]

หลังจากที่ทุกคนได้อ่านปฐมบทกันแล้ว >> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 2 [ปฐมบท]

ก็มาเข้าเนื้อเรื่องหลักกันได้เลยจ้า...

หน้าปกเปิดโดจิน โดราเอม่อนกับโนบิตะตะลุยโลกไบโอฮาซาร์ด II
บทที่ 1 : ฝันร้ายหวนคืน (悪夢の再来 : Akumu no Sairai)






เนื้อเรื่องส่วนที่ 1 : สาเหตุที่ต้องติดแหง่กอยู่ที่นี่



เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น บริเวณซอยแห่งหนึ่งในเมือง R .... เมืองในอดีตที่เคยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าอยู่ แต่บัดนี้กลับเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ตามอาคารและเหล่าผีดิบเต็มไปหมด


ตูม!!!

ผนังของอาคารตึกได้ถล่มลงเนื่องจากแรงระเบิดจนเกิดช่องว่างพร้อมกับมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกระโดดออกมาจากช่องนั้น


เขาคือ....โนบิตะ....พระเอกของเรื่องนี้นั่นเอง



สิ่งที่เขาพกติดตัวออกมาตอนกระโดดออกมาจากช่องว่างนั้นมีเพียง "มีดพกแบบพิเศษ" ที่เรียกว่า "บัตเตอร์ฟลายไนฟ์ (Butterfly Knife)" เท่านั้น!!


มีดพกบัตเตอร์ฟลายไนฟ์ หน้าตาประมาณนี้นะจ้ะ

 เขาโดดออกมาจากช่องตึกพื่อเอาตัวรอดไปจากสถานที่ที่เลวร้ายแห่งนี้ เขาต้องเดินออกมาตามซอยแคบๆที่ซึ่งมีซอมบี้ตัวหนึ่งขวางทางอยู่

โนบิตะเคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับพวกซอมบี้มาก่อนทำให้เขาสามารถจับจังหวะการต่อสู้ได้ เขาจึงจึงแปลงร่างเป็นไอ้เดชมีดเทพจัดการซอมบี้ที่ขวางทางอยู่ได้อย่างง่ายดาย (โชว์เทพปราบซอมบี้ตัวแรกด้วยมีด)


หลังจากที่จัดการซอมบี้ได้เขาก็วิ่งออกมายังปากซอยซึ่งเป็นถนนใหญ่


แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าบริเวณสองฝั่งของถนนนั้นถูกล้อมด้วยซอมบี้จำนวนมากซึ่งมีจำนวนเยอะเกินกว่าที่เขาจะจัดการหรือวิ่งผ่านไปได้ แถมยังมีซอมบี้ที่เดินออกมาจากซอยที่เขาพึ่งเดินออกมาอีก


เมื่อถูกปิดล้อมดังนั้นโนบิตะจึงต้องรีบหาทางหนีอื่นและเขาก็พบกับประตูทางเข้าตรอกที่อยู่อีกฝั่งของถนน ซึ่งเป็นเวลาที่มีซอมบี้ตัวหนึ่งวิ่งเข้าใกล้เขาพอดี

"เฮ้ย!!"


โนบิตะเกือบจะโดนซอมบี้ที่อยู่เข้าใกล้คว้าตัวไว้ได้แล้วใช้แรงทั้งหมดในการเข้าไปกระแทกกับประตูทางเข้าตรอกจนในที่สุดประตูก็เปิดออกทำให้เขาวิ่งเข้าไปในตรอกหนีพวกซอมบี้ได้อย่างทันเวลาพอดี


อีเว้นท์คัตซีนตรงนี้เหมือนกับตอนเริ่มต้นของ RE3 ตอนที่จิล วาเลนไทน์หนีซอมบี้ออกมาจากซอยในตอนแรกเป๊ะเลยดังนั้น โนบิตะคือผู้ที่รับบทเป็นจิลในภาคนี้นี่เอง



จากนั้นในโดจินก็เกิดการเล่าเรื่องย้อนความ...ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อ 5 เดือนก่อน วันที่ 28 เดือนกรกฎาคม ปี 2004 ที่พวกโนบิตะได้เผชิญหน้ากับฝันร้ายครั้งแรกหลังจากกลับมาจากเกาะและหนีออกจากเมืองโตเกียวที่พวกเขาอยู่ได้พร้อมกับเพื่อนๆ และระหว่างที่หนีเขาก็ได้พบข้อมูลของตัวการใหญ่อย่างอัมเบรล่าที่ห้องทดลองใต้ดินและก่อนที่พวกเขาจะหนีออกมานั้น พวกเขาได้หยิบแผ่นซีดีข้อมูลหลักฐานออกมาด้วย ซึ่งพวกเขาได้ลองเปิดดูหลักฐานชิ้นนั้นดูก็พบข้อมูลบางอย่าง...


มันมีการพูดถึงเกี่ยวกับหัวข้อการกำหนดการปฏิบัติการลับของอัมเบรล่าที่เรียกว่า "เอ็กซ์-เดย์ [X-Day]" ซึ่งหมายถึงวันที่ที่กลุ่มของอัมเบรล่าจะส่งเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัยและทำลายหลักฐานต่างๆในสถานที่แห่งนั้น (เผื่อเป็นการปกปิดความผิดของอัมเบรล่าที่มีการทำเรื่องผิดศีลธรรมอย่างลับๆ)

**ใน RE มีการกล่าวถึง "เอ็กซ์-เดย์ [X-Day]" ครั้งแรกคือตอนที่อัมเบรล่าตัดสินใจส่งอัลเบิร์ต เวสเกอร์ (Albert Wesker) กับเซอร์เกย์ วลาดิเมียร์ (Sergei Vladimir) เจ้าหน้าที่คนสำคัญของอัมเบรล่า ลอบเข้าไปในคฤหาสน์สถาบันวิจัยลับบนภูเขาอาร์คเลย์ (Arklay Mountains) [คฤหาสน์สถานที่เกิดเหตุในเกม RE1 นั่นแหละ] เพื่อย้ายข้อมูลวิจัยที่ยังมีประโยชน์อยู่และทำลายหลักฐานต่างๆ รวมถึงจัดการปิดปากเจ้าหน้าที่หน่วย "สตารส์ (S.T.A.R.S.)" ทีมบราโว่ (Bravo) ที่ถูกส่งให้ไปสืบสวนคดีแปลกประหลาดบนสถานที่แห่งนั้น [ตัวเอกของ RE1 อย่างคริส เรดฟิลด์ และจิล วาเลนไทน์ อยู่ในทีมอัลฟ่าที่ถูกส่งตามไปทีหลัง หลังจากที่ทีมบราโว่ขาดการติดต่อไป]**

กำหนดการของ X-Day ที่จะถึงในวันถัดไปประมาณ 5 เดือนให้หลังนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในเมืองแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นที่ชื่อว่า "เมือง R" ซึ่งเป็นเมืองที่อัมเบรล่าสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและที่อยู่อาศัยบังหน้า แต่ภายในอาคารใต้ดินและตามสถานที่ต่างๆก็มีการแอบซ่อนห้องวิจัยต่างๆไว้เป็นจำนวนมากด้วย  โดยก่อนที่จะถึงวัน X-Day พวกโนบิตะตัดสินใจที่จะส่งคนที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดในการปฏิบัติการภาคสนามจำนวน 3 คนลงไปซึ่งได้แก่ ไจแอนท์ เซย์นะ และโนบิตะ เพื่อให้พวกเขาตามหาเบาะแสสำคัญและหลักฐานต่างๆที่จะนำไปช่วยไขความลับในแผ่นโปรแกรมข้อมูลในบางจุดที่เขายังไม่สามารถหาคำตอบได้...

แต่พวกเขาไม่คิดฝันมาก่อนว่าที่เมือง R ก็เริ่มเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับเมืองโตเกียวที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ด้วย..ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่โนบิตะ ไจแอนท์และเซย์นะอยู่ในเมือง R ได้สักระยะหนึ่ง


ตัดกลับมาในช่วงเวลาปัจจุบัน

วันที่ 22 เดือนธันวาคม ปี 2004


ภายในตัวโกดังเก็บของแห่งหนึ่งในเมือง R


อันเป็นสถานที่ที่โนบิตะและผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งหลบหนีเข้ามาอยู่รวมกันโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งคอยยืนถือปืนระวังภัยอยู่ที่หน้าประตู


หากสังเกตดูในโดจินจะเห็นว่าโนบิตะได้ถือกระเป๋าหิ้วบางอย่างเข้ามาด้วย


"ดูเหมือนจะใจเย็นกันจังเลยน้า..."

โนบิตะได้พูดทำลายความเงียบนั้นขึ้นมา หลังจากที่ดูสถานการณ์รอบข้างซึ่งมันเงียบจนน่าอึดอัด


"ใจเย็นงั้นเหรอ!? จะให้มานั่งใจเย็นใสถานการณ์แบบนี้เหรอ!? อย่ามาพูดบ้าๆนะเว้ย ไอ้เด็กบ้า!!"


ตอนนั้นเองก็มีเสียงของลุงในชุดสูทตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบท่าทีของโนบิตะเอามากๆ


"ทั้งลูกชาย ทั้งเมีย ทั้งพ่อของฉันก็กลายเป็นพวกบ้าเหมือนกับเจ้าพวกข้างนอกไปหมดแล้ว!! จะให้ทำใจเย็นอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้เหรอวะ!!!"


เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในโกดังเริ่มวุ่นวายขึ้น ตำรวจหนุ่มที่เฝ้าหน้าประตูจึงรีบหันมาพูดเกลี้ยกล่อม..

"ดะ...ได้โปรด ใจเย็นก่อนนะครับ อีกเดี๋ยวสถานการณ์ก็คงจะคลี่คลายแล้ว...อีกสักพักคงจะออกไปข้างนอกได้แล้วล่ะครับ"


"สถานการณ์งั้นเหรอ!! มึงตาถั่วหรือปล่าววะ!! โลกนี้มันกลายเป็นขุมนรกไปแล้วแบบนี้ยังจะให้ออกไปข้างนอกอีกเหรอ!!?"


สถานการณ์กลับท่าทางจะแย่ลงไปอีก ซึ่งหลายคนจะกลายเป็นคนสติไม่ดีแบบนี้ก็คงจะไม่น่าแปลกนัก


สถานที่แห่งนี้ต่างก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มีการสูญเสียกันมาแล้วทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุดก็คือโลกทั้งใบรอบตัวที่พวกเขาเคยอยู่ได้กลายเป็นฝันร้ายเสียแล้ว  เรื่องแบบนี้หากได้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็คงจะยอมรับได้ยาก ยิ่งเป็นเด็กสาวที่อ่อนแอด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกช็อกและเสียใจอย่างรุนแรง


"ฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ออกไปไหนเด็ดขาด!!! จนกว่าพวกตำรวจไร้ประโยชน์อย่างพวกแกจะจัดการให้เรียบร้อยทั้งหมด!!"



หลังจากที่ลุงคนนั้นพูดเสร็จเขาก็รีบเดินเข้าไปในห้องเล็กๆที่อยู่ด้านในสุดพร้อมกับล็อกห้องทันที


ดูแล้วตาลุงคนนั้นคงคล้ายกับผู้รอดชีวิตคนแรกใน RE 3 ที่จิลเจอเลยนะ ซึ่งเป็นลุงอ้วนที่พลัดหลงกับลูกสาวตอนเกิดเหตุการณ์แล้วเกิดกลัวโลกภายนอกขึ้นมาเลยเอาแต่ซ่อนตัวเองอยู่ในโกดัง


หลังจากที่ลุงคนนั้นไปแล้ว ตำรวจหนุ่มก็ได้เริ่มคิดหนักว่ามันก็เป็นอย่างที่ลุงคนนั้นพูด สถานการณ์การก็ไม่มีท่าทีว่าจะคลายลงเลย แถมตัวเองก็เริ่มหัวเสียกับท่าทางของคนแบบนั้นแล้วจึงได้แต่พยายามอดกลั้นไว้ เพราะแค่นี้หลายคนก็รู้สึกตื่นตระหนกจะแย่อยู่แล้ว อย่าทำให้เรื่องต่างๆมันเลวร้ายไปกว่านี้เลยดีกว่า สถานการณ์ที่ควรทำตอนนี้คือต้องคิดหาทางพาทุกคนที่อยู่ในที่นี่ให้มีชีวิตรอดออกไปได้จนกว่าเหตุการณ์จะสิ้นสุดลง


และในช่วงนั้นเองที่โนบิตะได้เดินไปดูคนอื่นๆที่อยู่ในโกดัง เขาเดินเข้าไปดูเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่นอนอาบเลือดอยู่ด้านใน
"อะ...อา.... ตรงนั้น....มี แมลง...มีแมลงเต็มไปหมดเลย..หะ.หะ... แมลงรวงลงมาเต็มไปหมดเลย"
ท่าทางเด็กคนนี้คงจะเสียสติไปแล้ว

"ทำใจดีๆไว้นะ!! ที่นี่ไม่มีแมลงที่ไหนทั้งนั้นแหละ!"

เพื่อนอีกคนที่อยู่ข้างๆก็พยายามปลอบแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผล


"เฮ้ย แข็งใจไว้นะ!! ห้ามหลับตาเด็ดขาด มองฉันสิ!! นายต้องรอดออกไปให้ได้"

และมีแต่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ


(หลังจากที่สำรวจคนนั้นเสร็จก็คนแคสต์เกมก็บรรยายขึ้นมาว่า เด็กคนนั้นคงจะติดเชื้อที-ไวรัสเรียบร้อยแล้ว)

จากนั้นถัดมาโนบิตะจึงมาสำรวจผู้ชายอีกคนที่กำลังหาทางช่วยเพื่อนที่นอนทรมานอยู่บนพื้นเช่นกัน

"เอ้ย!!! แข็งใจไว้ก่อน ทำใจดีๆไว้ ฉันจะช่วยนายเอง"


"จะ  เจ็บเหลือเกิน...."


โนบิตะได้ยินเสียงของผู้หญิงที่อยู่ข้างบ่นออกมาว่า..

"ที่นี่เริ่มมีคนบาดเจ็บเยอะมากขึ้นทุกทีแล้วนะ..."


จากนั้นโนบิตะจึงได้หันไปมองเด็กผู้หญิงอีกคนที่อยู่ใกล้กับประตูที่ตาลุงขี้โมโหเดินเข้าไปก็พบว่าเธอยังร้องไห้อยู่เลย และคิดว่าคงยากที่จะเข้าไปปลอบในสถานการณ์เช่นนี้


ประตูที่ลุงขี้โมโหเข้าไปก็ถูกล็อกโดยสมบูรณ์


โนบิตะจึงเดินย้อนกลับมาหาตำรวจหนุ่มที่ยืนเฝ้าประตูด้านหน้าอีกครั้งซึ่งยังคงรู้สึกตึงเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะยังนึกวิธีที่จะช่วยทุกคนอยู่

"เอ่อ คือว่า...ให้ผมออกไปตรวจสอบข้างนอกให้เอาไหมครับ"

ตำรวจหนุ่มคนนั้นตกใจสิ่งที่โนบิตะพูดออกมามาก เพราะย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ตำรวจอย่างเขาย่อมไม่อยากให้เด็กวัยรุ่นไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน เขาจึงพยายามพูดค้านแต่โนบิตะก็ชิงพูดตอบ

"ให้ผมไปเถอะครับ และก็ไม่ต้องเรื่องอาวุธด้วย เพราะผมน่ะถนัดใช้เจ้าสิ่งนี้อยู่แล้ว.."

โนบิตะคว้าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าถือขึ้นมาให้ตำรวจดู..ซึ่งมันก็คือ...

 

โนบิตะจับปืนพกขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างมั่นคงทำเอาตำรวจคนนั้นรู้สึกยอมรับขึ้นมาลึกๆ และก็แอบประหลาดใจลึกๆที่ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้มีปืนได้ แต่ก็คงเดาเอาว่าอาจจะเก็บจากพวกศพตำรวจตามทางก็ได้

และตอนนั้นเองก็มีเด็กสาวชุดนักเรียนวิ่งมาหาตำรวจพร้อมกับมาบอกว่า พวกคนเจ็บบางคนที่เข้ามาในโกดังก่อนหน้านั้นเริ่มแสดงท่าทางแปลกๆแล้ว!!

โนบิตะรับรู้ได้ทันทีว่า....สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือ...


เมื่อเห็นท่าทางพวกเขาทำให้โนบิตะเข้าใจทันทีเลยว่า พวกเขากลายเป็นซอมบี้ไปแล้วนั่นเอง โนบิตะจึงใช้ความสามารถพิเศษใช้ปืนพกกระบอกเดียวยิงเข้าใส่ศีรษะผู้เคราะห์ร้ายที่กลายเป็นซอมบี้อย่างแม่นยำ

(หมายเหตุ...ในโดจินโนบิตะไม่ได้ใช้ปืนคู่แต่อย่างใด แต่การเคลื่อนไหวของโนบิตะนั้นรวดเร็วมากจนทำให้ดูเหมือนใช้ปืนคู่อยู่ ซึ่งคาดว่าเป็นความสามารถของร่างกายพิเศษที่ยังมีสารที-ไวรัสตกค้างอยู่ภายในทำให้แสดงความสามารถนั้นออกมาได้)

เมื่อได้เห็นความสามารถในการต่อสู้ของโนบิตะแล้วตำรวจหนุ่มจึงยอมรับในฝีมือและยอมให้โนบิตะออกไปสำรวจข้างนอกได้ เขาได้ฝากให้โนบิตะหาเสบียงหรืออาวุธต่างๆมาให้พวกเขาให้หน่อย แถมสถานีตำรวจประจำเมืองที่เก็บอาวุธอยู่มากก็ไม่ไกลจากที่นี่ด้วย เขาอยากให้โนบิตะลองไปสำรวจขอความช่วยเหลือจากที่นั่นดู  นอกจากนั้นตำรวจหนุ่มยังคิดในใจเพิ่มเติมว่า ถ้าเป็นเด็กคนนี้ล่ะก็คงจะทำได้แน่นอนและตนเองก็อยากจะมีส่วนช่วยเหลือเด็กคนนี้บ้าง เขาจึงเปิดซองใส่ปืนพกที่เหน็บข้างลำตัว..


เขาหยิบแม็กกาซีนกระสุนปืนพกให้โนบิตะจำนวน 3 ชุด..


"รู้วิธีใช้เจ้าสิ่งนี้สินะ"

โนบิตะพยักหน้าแต่ก็แอบคิดในใจว่า (รู้สึกตรูจะเคยบอกไปแล้วนะว่าตรูใช้ปืนเป็น ก็ย่อมใช้เจ้านี่เป็นอยู่แล้วเฟ้ยย)


 นายตำรวจย้ำอีกครั้งว่าให้เขาใช้กระสุนอย่างระมัดระวังด้วยอย่าให้มันหมดกลางทางจนกว่าจะไปถึงสถานีตำรวจเด็ดขาด โนบิตะจึงได้ยอมรับ...


โดยก่อนออกไปจากโกดังนั้นเขาได้ลองดูสถานการณ์รอบข้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ คนที่คาดว่าจะกลายร่างเขาก็จัดการไปเรียบร้อยแล้ว คนที่อยู่ในนี้คงจะไม่กลายเป็นซอมบี้ตอนที่เขาไม่อยู่แน่นอน เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งอกไปหน่อยนึงที่เหลือคือต้องระวังพวกที่บุกเข้ามาจากข้างนอก


เขาต้องใช้เวลาในการอยู่ข้างนอกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จึงได้แต่แอบกังวลอยู่ลึกๆ


 แถมเขาเองก็เริ่มเป็นห่วงไจแอนท์กับเซย์นะที่ยังติดแหง่กอยู่ในเมืองนี้เหมือนกับเขาด้วย


หลังจากนั้นโนบิตะก็เริ่มคิดว่าเรื่องเลวร้ายแบบนี้มันเกิดขึ้นเร็วมากทั้งๆที่เมื่อ 3 วันก่อนยังอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแท้ๆ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 3 วันก่อน...ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง R

เดคิสุงิซึ่งดูโทรมผิดปกติได้กล่าวบอกทั้ง 3 คนว่าให้ระวังตัวด้วยตอนที่เข้าไปในเมือง R


"ไหวหรือเปล่าคะ เดคิสุงิคุง ได้นอนพักบ้างไหมคะเนี่ย?"

เซย์นะรีบเข้ามาสอบถามอาการของเดคิสุงิด้วยความเป็นห่วงเพราะตอนนี้เดคิสุงิดูโทรมเกินกว่าปกติมากเกินไป

เดคิสุงิบอกว่า "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ได้นอนแค่ 2 วันเอง"

เมื่อได้ยินดังนั้น ไจแอนท์ที่อยู่ใกล้ๆจึงเอ่ยปากออกมาว่า..

"แค่ 2 วันเองพ่อมึงดิ!!!" พร้อมกับออกคำสั่งว่า... "รีบไสหัวไปนอนเลยมึง"

ทางด้านซูเนโอะเองก็โทรมจนขอบตาเป็นหมีแพนด้าไม่ต่างจากเดคิสุงิเช่นกัน

เขาได้แต่บ่นออกมาว่า ดูเหมือนเจ้าข้อมูลในแผ่นดิสก์ที่พวกเขาจิ๊กมาจากห้องทดลองอัมเบรล่าก่อนที่ห้องจะระเบิดนั้นเต็มไปด้วยภาพถ่ายที่มืดตื๊ดตื๋อเต็มไปหมด แถมติดพาสเวิร์ดอะไรก็ไม่รู้อีกเยอะแยะ ข้อมูลที่ได้มาจริงๆก็มีแค่บางส่วนเท่านั้น



เขากับเดคิสุงิ 2 คนเป็นแกนหลักในการวิเคราะห์สำรวจเนื้อหาต่างๆในหลักฐานที่พวกเขาหยิบมาได้ทั้งหมดซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าดิสก์แผ่นนี้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนอยู่มากแล้วก็ตรวจพบส่วนที่เป็นอันตรายว่าหากไม่สามารถค้นหาวิธีเปิดอ่านอย่างถูกต้องแล้วข้อมูลทั้งหมดในดิสก์จะถูกลบทิ้งทั้งหมดทันที (แถมทำสำเนาไม่ได้ด้วย) ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจึงพยายามหาวิธีแก้ต่างมาโดยไม่ได้พักเลย จนเวลา 5 เดือนพาไปก็ไม่ค่อยคืบหน้าเลย

เมื่อเห็นซูเนโอะทำท่าเครียดแบบนั้นไจแอนท์จึงเอามือวางบนหัวซูเนโอะพร้อมกับพูดว่า..
"เจ้าปากแหลม มึงก็อีกคนนึง รีบไปนอนซะ"
ท่าทางไจแอนท์เป็นคนที่ห่วงสถขภาพของเพื่อนคนอื่นไม่น้อยเลยทีเดียว

เดคิสุงิบอกว่าการนำอาวุธปืนใหญ่ๆหนักๆ (อย่างพวกปืนไรเฟิล หรือเครื่องยิงจรวด RPG ที่เคยใช้ในภาคที่แล้ว) เข้าเมือง R ในตอนนี้มันยังคงเสี่ยงเกินไปเพราะอาจถูกพวกตำรวจจับได้ก่อนลงมือปฏิบัติการลอบเข้าฐานทัพ**


**เมือง R 3 วันก่อนยังไม่เกิดเหตุการณ์ไวรัสแพร่ระบาด




แต่ก็ควรมีอาวุธพกติดตัวไว้ป้องกันตัวบ้างซึ่งคงทำได้แค่ปืนพกขนาดเล็กที่สามารถซุกซ่อนไว้ในกระเป๋าถือขนาดเล็กที่เดคิสุงิเตรียมมาเป็นพิเศษเท่านั้น ซึ่งเดคิสุงิก็ได้อธิบายตำแหน่งที่ซ่อนอาวุธในกระเป๋าให้แล้วเผื่อถูกตรวจค้น ทำให้พวกโนบิตะที่รับหน้าที่ไปสำรวจในเมืองสามารถลักลอบนำอาวุธเข้าไปข้างในได้


เซย์นะก็ได้ย้ำอีกครั้งว่า สรุปแล้วเจ้าปืนนี้คงจะเอาใช้ได้เฉพาะในเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆสินะ

และตอนนั้นเองที่โดราเอม่อนก็ได้พูดเสริมว่าขอให้ทั้งสามคนนั้นอย่าลืมเตรียมหรือชาร์จแบตมือถือตลอดเวลาด้วยเผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้โทรติดต่อกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาย...โนบิตะ!!!

เมื่อโดนเพ่งเล็งเช่นนั้นโนบิตะจึงหันมาทักท้วงว่าเอ้ย ทำไมต้องมาย้ำที่ฉันด้วยเล่า!!

ซูเนโอะก็พูดเสริมว่า : ก็เพราะนายน่ะมันเป็นพวกสะเพร่าขี้ลืมยังไงล่ะโนบิตะ เชื่อเถอะเดี๋ยวนายก็คงลืมชาร์จแบตอีกตามเคย

โนบิตะ : ซะ ซูเนโอะ!!! ฉันไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นนะ!!

ไจแอนท์ : วะฮ่าๆๆๆ พูดแบบนี้กี่ครั้ง เจ้าโนบิตะก็ลืมทุกทีแหละน่า..

โนบิตะ : ไจแอนท์ก็ว่าฉันด้วยเรอะ



ตัดกลับมาปัจจุบัน...

แบตมือถือของโนบิตะ...เป็น 0 เป็นดั่งคำทำนายว่ามันต้องหมดตอนเกิดเหตุพอดี -*-



เขากะว่าพอถึงวันที่ 3 ตอนแบตมือถือใกล้หมด จะเริ่มชาร์จมือถือใหม่แต่ใครมันจะไปคิดได้ล่ะว่าวันนั้นดันเกิดเหตุพวกซอมบี้บุกเข้ามาในเมือง ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้หยุดพักชาร์จแบตมือถือเลยนี่สิ..

"ตอนนี้คงต้องถึงคราวฉุกเฉินที่จะต้องใช้นายจนได้สินะ"

โนบิตะเอ่ยพูดกับปืนคู่หูก่อนที่ตัดสินใจเดินออกจากโกดังออกไป



การผจญภัยของโนบิตะในเมืองนรกจึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จะมีอะไรรอพวกเขาอยู่กันแน่?
โปรดติดตามชมตอนต่อไป....!!!
ได้ที่ >> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 2 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 2]

แสดงความเห็นบน Facebook!

3 ความคิดเห็น :

  1. ไม่ระบุชื่อ6 เมษายน 2556 เวลา 10:49

    เรื่องดวงซวยไม่มีอะไรเกินหน้านายแล้วล่ะ โนบิตะคุง..

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เหมือนกับพระเอก นางเอก RE ทุกภาคล่ะนะ =w=

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ7 เมษายน 2556 เวลา 02:19

    โนบิตะ!!! นายจะเมพ+ดวงซวยไปไหน!!!

    ตอบลบ