" />

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban 2 [เนื้อเรื่องส่วนที่ 14]

ขออภัยที่หายไปเนิ่นนาน เพราะทางเจ้าของบล็อกติดภารกิจที่ค่อนข้างยุ่งมากในแต่ละวันทำให้เหลือเวลาเขียนบทความน้อยมาก แต่ก็จะพยายามเร่งเต็มที่น้า 

หลังจากที่จบเนื้อเรื่องในตอนที่แล้ว

พวกโนบิตะคิดว่าตัวเองคงจะได้หนีออกจากเมืองด้วยเฮลิคอปเตอร์ได้ง่ายๆแท้ๆ แต่ปรากฏว่าดันเกิดอุบัติเหตุบางประการทำให้เฮลิคอปเตอร์ที่บินมารับพวกเขาเกิดตกลงมาระเบิดเป็นชิ้นๆ ทำให้พวกโนบิตะต้องติดแหง่กอยู่ในเมืองนี้ต่อไป




ในขณะเดียวกันอาการของเซย์นะก็เริ่มย่ำแย่ลงทุกที เฮลิคอปเตอร์ที่เป็นทางหนีออกจากเมืองนี้ก็ถูกทำลาย เขาต้องค้นหาทางอื่นที่จะช่วยเหลือเซย์นะให้เร็วที่สุด แต่จะใช้วิธีไหนล่ะ...?



เนื้อเรื่องส่วนที่ 14 : วิ่งสิ! โนบิตะ!

(ตั้งชื่อตอนล้อเลียนการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังเรื่อง "วิ่งสิ! เมลอส!")


หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ เฮลิคอปเตอร์ได้ตกลงบนที่ลานกว้างของหอนาฬิกา ทหารสองนายโอทากะกับโรวฮะได้พาเซย์นะหนีกลับไปเข้าไปในหอนาฬิกา ปล่อยทิ้งไว้ให้โนบิตะตกอยู่ในวงล้อมเปลวเพลิงจากการระเบิด และในตอนนั้นทินดาลอสก็ได้ปรากฏตัวขึ้นและต่อสู้กับโนบิตะอีกครั้ง 

โนบิตะถูกทินดาลอสลอบโจมตีเข้าที่แขนทำให้เขาได้รับเชื้อทีไวรัสเข้าไป แต่ตัวของโนบิตะนั้นมีลักษณะทางพันธุกรรมที่พิเศษกว่ามนุษย์คนอื่น และเคยได้รับวัคซีนต้านเชื้อทีไวรัสไปก่อนหน้านั้น ทำให้เกิดสถานะที่เรียกว่า 'ไวรัสโหมด'  (เหมือนกับตอนที่ต่อสู้กับไทแรนท์ T-002 ในภาคแรก) และด้วยสถานะนี้ทำให้โนบิตะมีสมรรถนะทางร่างกายที่เหนือมนุษย์และสามารถยิงปืนต่อสู้ขับไล่ทินดาลอสจนมันเสียหลักล้มตัวลงไปในกองเพลิงที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา  ก่อนที่เขาจะสลบไป....เนื่องจากเขาสูญเสียพลังงานมากหากอยู่ในโหมดนี้...

เขาหลับยาวเป็นเวลานานข้ามวันข้ามคืน...ในระหว่างนั้นก็เกิดช่วงเวลาที่ฝนตก ไฟไหม้ที่โหมกระหน่ำรอบตัวเขาก็ได้ซาลง โอทากะกับโรวฮะที่ยังคงบาดเจ็บจากแรงระเบิดของเฮลิคอปเตอร์ ก็ยังฝืนออกช่วยกันแบกร่างของเขากลับเข้าไปในตัวอาคารของหอนาฬิกา

วันที่ 24 เดือนธันวาคม  ซึ่งเป็นเวลา 1 วันเต็มๆที่โนบิตะนอนสลบไป


"หลังจากนั้น ก็ไม่มีเฮลิคอปเตอร์ลำไหนบินผ่านมาที่นี่อีกเลย"


"ไม่รู้เหมือนกันว่าส่งสัญญาณจากหอนาฬิกาไปนานเท่าไหร่แล้ว? แต่ก็ไม่มีใครมาอีกเลย นี่พวกเราคงจะถูกทอดทิ้งไว้ที่นี่จริงๆเหรอ?"


"ทั้งๆที่คิดว่าจะได้ร่วมฉลองวันคริสมาสต์ที่จะถึงในวันพรุ่งนี้กับพวกเพื่อนๆแล้วแท้ๆ แต่แบบนี้คงจะหมดหวังแล้ว แถมข้างนอกฝนก็ตกลงมาอีก.."


"แต่อย่างน้อยตอนนี้ พวกเราก็ยังมีชีวิตอยู่...."



ที่หอนาฬิกา....เวลา 17.30 นาฬิกา (5 โมงเย็นครึ่ง)


โนบิตะที่พึ่งฟื้นคืนสติ พบว่าตัวเองอยู่ในห้องประกอบพิธีในหอนาฬิกา เขาเดินเข้าไปหาพวกโอทากะที่กำลังดูแลเซย์นะอยู่

".....รู้สึกเพลียหรือเปล่า? นี่มันก็เริ่มมืดแล้วนะ..."


 "ไม่เท่าไหร่หรอกครับ"

"ถ้างั้นก็ดี...ไอ้หนู.......โรวฮะมีอะไรบางอย่างจะพูดกับเธอ.."


"ครับ.?"
โนบิตะเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโรวฮะมีอะไรจะพูดกับเขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเรื่องที่จะได้ฟังต่อจากนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ


"เฮ้!!! โรวฮะ!!"

โอทากะเป็นคนเรียกโรวฮะที่ดูแลเซย์นะอยู่ให้รู้สึกตัว


"!? อะ  อ่า!! รู้แล้วๆ"


จากนั้นโรวฮะจึงหันหน้าขึ้นมาสบตากับโนบิตะ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดี

"เอาล่ะ ไอ้หนู ฟังให้ดีนะ..."


โรวฮะเหลือบสายตามองไปทางเซย์นะสักครู่ก่อนที่จะหันกลับมา

"คือว่าเด็กคนนี้น่ะ....มีไข้สูงมากทั้งๆที่ตอนกลางวันไม่เป็นอะไรเลย"


"ฉันไม่อยากจะพูดคำนี้เลย... แบบว่าอีกไม่นาน เด็กคนนี้น่ะ..เด็กคนนี้ก็จะ..."




"คุณเซย์นะ...กำลังจะกลายเป็นซอมบี้.....ใช่ไหมครับ....."

โนบิตะจึงได้ตอบสิ่งที่เขาคิดไว้...เขาคาดเดาไว้บ้างแล้วว่าทุกอย่างมันอาจจะต้องกลายเป็นแบบนี้


"อ่าใช่ แบบนั้นแหละ ดูเหมือนว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กคนนี้จะต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดพวกนั้นแน่ๆ"


"ฉันทำหน้าที่คอยให้ยาชะลอการติดเชื้อให้เด็กคนนี้จนถึงขีดสุดแล้ว คงยืนเวลาให้มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ"



"ก็อย่างที่โรวฮะพูดไปนั่นแหละ แล้วเธอล่ะคิดจะทำยังไงต่อ?"

ตอนนั้นเองที่โอทากะได้หันมาถามโนบิตะ

"เธอจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ต่อ ตอบฉันมาสิ!?"




ในตอนนี้เอง โนบิตะก็ไม่มีเหตุผลที่จะแย้งสองคนนั้น เขารู้สึกเจ็บใจมากที่ตัวเองไม่อาจจะช่วยเหลือเซย์นะไว้ได้เลย


"คุณเซย์นะ ...นี่ฉัน...ช่วยอะไรไม่ได้เลยยังงั้นเหรอ!?"


"ถ้าไม่ขัดข้องอะไร...."

ตอนนั้นเองโอทากะก็ยกปืนของตนขึ้นจ่อที่ศีรษะของเซย์นะ...เพื่อเตรียมที่จะฆ่าเธอทิ้ง


"ระ รอเดี๋ยวก่อน! ทั้งสองคน!! อย่าพึ่งทำแบบนั้น!!"

จู่ๆโรวฮะก็ตะโกนร้องห้ามขึ้นมา..


"...เมื่อกี้ฉันพึ่งนึกอะไรได้....นี่ไอ้หนูฟังให้ดีนะ..."

โรวฮะหันมาพูดกับโนบิตะด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง...


และตอนนั้นเองโรวฮะก็พูดออกมาประมาณว่า เขานึกขึ้นได้ว่าบริเวณไม่ห่างจากหอนาฬิกาแห่งนี้มีโรงพยาบาลที่ถูกสร้างโดยอัมเบรล่าอยู่ และสถานที่แห่งนั้นก็เป็นหนึ่งในห้องทดลองลับที่ใช้ในการผลิตอาวุธชีวภาพจากที-ไวรัส อย่างลับๆด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่แบบนั้นอาจจะมีวัคซีนที่ช่วยหยุดการลุกลามของที-ไวรัสอยู่ด้วย


 เมื่อได้ยินดังนั้น โนบิตะก็เริ่มมีความหวังมากขึ้น  หลังจากนั้นโรวฮะก็บอกกับโนบิตะว่า เขาเองก็ยังทึ่งในสภาพร่างกายของโนบิตะมาก เพราะว่าการฟื้นฟูร่างกายของเขานั้นทำได้เร็วผิดปกติ ในขณะที่เขากับโอทากะยังคงมีอาการบาดเจ็บแถมยังกระดูกหักตอนที่หลบเฮลิคอปเตอร์เมื่อก่อนหน้านั้นด้วย พวกเขาทั้งคู่คงจะวิ่งไปเอามันไม่ทันการแน่ๆ คงมีแต่โนบิตะคนเดียวเท่านั้นที่จะวิ่งไปเอามันมาได้ ส่วนเขากับโอทากะจะอยู่เฝ้าเซย์นะให้เอง


 "เข้าใจที่พูดใช่ไหม?"



"ครับ!! สรุปก็คือให้ผมรีบไปที่โรงพยาบาลตามลำพังเพื่อหาวัคซีนแก้แล้วกลับมาที่นี่สินะครับ"



"ถ้างั้นก็ดี, จะไปเลยสินะ?"

โรวฮะถามย้ำ



"..ครับ!! ผมจะเป็นคนช่วยคุณเซย์นะเอง คอยดู!"


"กล้าหาญดีนี่ไอ้หนู..งั้นพวกเราจะรอเธอกลับมานะ อ้อ แล้วก็อย่าตายกลางทางซะล่ะ!!"


"เร็วเข้าเถอะไอ้หนู!! เวลาไม่ค่อยมีแล้ว...อาการของเด็กคนนี้ย่ำแย่ลงทุกที!!  พวกเราไม่อยากจะฆ่าเด็กคนนี้หรอกนะ"

"เพราะอย่างงั้น อย่าลืมเอาวัคซีนกลับมาให้ได้ล่ะ!!"



"เข้าใจแล้ว!! ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ!!"


จากนั้นตัวเกมจะแสดงเวลานับถอยหลังที่เซย์นะจะกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมา

(เวลาจะถูกสุ่มแตกต่างกันออกไปทุกครั้งดังนั้นเอาแน่เอานอนเรื่องเวลาไม่ได้)


ทันทีที่โนบิตะก้าวย่างออกจากห้องเวลาจะเริ่มนับถอยหลังทันที


เมื่อเวลาเริ่มเดินแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับเข้าไปในห้องอีกจนกว่าจะได้วัคซีนมา...


ดูแล้วบทบาทตอนนี้เหมือนโนบิตะจะรับบทเป็นคาร์ลอสใน RE3 ที่บุกไปโรงพยาบาลเพื่อเอาวัคซีนมารักษาจิลที่ติดเชื้อไวรัสจากเนเมซิสเลยล่ะ



เมื่อทราบเรื่องแล้ว โนบิตะจึงรีบวิ่งออกไปยังประตูทางออกของหอนาฬิกาทันที ซึ่งประตูนั้นอยู่ในห้องที่โนบิตะได้ฟันเฟืองสีเงินมาจากตอนที่แล้ว


ในคราวนี้โนบิตะสามารถเดินออกไปข้างนอกหอนาฬิกาได้แล้ว!! บรรยากาศด้านนอกหอนาฬิกาในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก...อาการเริ่มเย็น และท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม...


บนถนนตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังหอนาฬิกานั้นมีฝูงซอมบี้อยู่เป็นจำนวนมาก...


แต่โนบิตะก็สามารถเดินลัดเลาะฝ่าฝูงซอมบี้ท่ามกลางสายฝน พร้อมกับแบกอาวุธปืนทุกชนิดไปด้วยผ่านพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย!! จนกระทั่งถึงด้านหน้าของโรงพยาบาล



เมื่อโนบิตะเดินเข้าไปในอาคารโรงพยาบาล เขาก็เห็นซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังเดินมาทางเขา


และในตอนนั้นเอง!!! ก็มีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งกระโดดพังหน้าต่างเข้ามาพร้อมกับใช้มือที่เต็มไปด้วยกงเล็บของมันตบเข้าไปที่หัวซอมบี้ตัวนั้นจนคอหลุด!!


"อะ..ไอ้เจ้านี่มัน...!! ฮันเตอร์นี่นา...!?"

หลังจากนั้นโนบิตะจึงเปลี่ยนปืนพกที่ใช้อยู่เป็นปืนลูกซองที่รุนแรงกว่า 

"แน่นอนเลยว่าโรงพยาบาลของที่นี่เป็นของอัมเบรล่าจริงๆ...!"


คัตซีนตรงนี้เหมือนกับคีนซีนใน RE3 เป๊ะเลย คือเมื่อเข้าโรงพยาบาลก็พบว่ามีซอมบี้เดินออกมาแต่ยังไม่ทันไรก็โดนฮันเตอร์ตบหัวหลุดก่อน (แต่ใน RE3 จะเป็นฮันเตอร์ตัวสีแดงที่เรียกว่าฮันเตอร์เบต้า)




ในตอนนั้นเอง ฮันเตอร์ก็กระโดดพุ่งเข้าโจมตีโนบิตะ แต่โนบิตะได้ใช้ปืนลูกซองยิงมันจนตายก่อน


หลังจากนั้นเขาสังเกตว่า ยังมีฮันเตอร์อีกตัวอยู่บริเวณนี้ด้วย โนบิตะจึงเลือกที่จะหนีเข้าไปในห้องใกล้ๆเพื่อตั้งหลัก (ก่อนเข้าห้องให้ลองดูที่มุมขวาบนจะเห็นว่ามีเรดเฮิร์บอยู่ด้วย)


โชคดีมากที่ห้องที่เขาเดินเข้าไปนั้นเป็นห้องที่ไม่มีศัตรูอยู่ (เป็นห้องเซฟ) ซึ่งมีแม็กกาซีนข้างศพให้เก็บ และมีกรีนเฮิร์บกับบลูเฮิร์บให้เก็บด้วย


เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วโนบิตะจึงเดินเข้าไปยังห้องถัดไป


เขาตระหนักได้ว่า อย่างแรกที่เขาต้องทำคือต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที-ไวรัสให้เจอก่อน


เขาลองสำรวจศพในห้องนี้และก็พบกับไอดีการ์ด


นอกจากนี้ภายในกระเป๋าสะพายของศพนั้นยังมีอะไรบางอย่างใส่อยู่...


มันคือ...สมุดบันทึกของผู้อำนวยการโรงพยาบาล


ไอเท็มนี้มีในเกม RE3 ด้วย แถมเนื้อหาก็เหมือนกันอีก

สมุดบันทึกผู้อำนวยการโรงพยาบาล


อาการในขั้นแรกจะมีเลือดคั่งรวมทั้งเซลล์ผิวหนังบางส่วนตายไป หลังจากนั้นจะฟั่นเฟือนชั่วระยะหนึ่ง จนในที่สุดก็สูญเสียความนึกคิดในแบบมนุษย์ และเมื่อหมดทางจะเยียวยาแล้ว ก็มีแค่ขอให้ตายไปอย่างสงบเท่านั้น

สำหรับทางการแพทย์ถือว่าผู้ป่วยคนนี้ได้ตายไปแล้ว เป็นโรคที่น่ากลัวจริงๆ พอผู้ป่วยสูญเสียความเป็นคน ก็บ้าคลั่งเหมือนกับติดยาเสพติดอย่างเรื้อรัง หนำซ้ำยังเข้าทำร้ายผู้อื่นด้วยความกระหายหิวเนื้อสดๆ อย่างกับเป็นเสือที่อดอยาก




วันนี้ก็มีการพาคนไข้มาอีกแล้ว แต่ดูเหมือนอาการจะไม่ค่อยหนักหนาสาหัสเท่าไหร่...
ตัวผมเองก็ไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว คงเป็นเพราะผมทนดูผู้ป่วยเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผมไม่ใช่คนเฝ้าไข้ แต่เป็นหมอที่รักษาคนและถ้าผมต้องตายไปจริงๆ บันทึกอาการคนไข้ที่เหลืออยู่ ก็คงจะเป็นประโยชน์ช่วยให้ค้นพบตัวการสำคัญของโรคนี้ได้



เจ้าหน้าที่และแพทย์จำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของโรงพยาบาล ได้เสียชีวิตไปกับการต่อสู้กับคนไข้ที่ป่วยเป็นโรค จนไม่สามารถรักษาโรงพยาบาลแห่งนี้ให้ดำรงอยู่ได้

มันสายไปเสียแล้ว ความหิวโหยและอาการคันก็เข้าเล่นงานตัวผมแล้ว เรี่ยวแรงก็กำลังจะหมดลง

แม้จะรู้ว่าเกิดจากไวรัสที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่เชื่อว่าคนรุ่นหลังสามารถค้นพบวิธีรักษาได้ ใกล้ จะ มี ความ สุข แล้ว สติของผม เริ่ม จะจาง หาย... คะ คัน...คัน...หิว.....เนื้อ...



 จบบันทึกของผู้อำนวยการโรงพยาบาลแค่นั้น ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้ผู้อำนวยการคงกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว (ส่วนศพคนที่ถือบันทึกคงเป็นใครบางคนที่ต้องการนำข้อมูลออกไปแต่ถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าตายก่อน)

ที่ด้านในของผนังมีช่องเสียบการ์ดบางอย่างกับลิฟต์ที่ใช้งานไม่ได้อยู่ โนบิตะจึงเสียบการ์ดไปหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงลิฟต์ทำงาน


เพล้ง!!!!!!
"ฮะ..เฮ้ย!!!"

ตอนนั้นเองก็มีพวกซอมบี้พังกระจกเดินเข้ามาในห้องที่โนบิตะอยู่ 


แต่ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างพอดี โนบิตะจึงรีบหนีเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับหาเบาะแสต่อไป



การผจญภัยของโนบิตะเพื่อหายารักษาอาการของเซย์นะภายในโรงพยาบาลจึงยังคงดำเนินต่อไป....

อันนี้เป็นคลิปบทสรุปของตอนนี้


แสดงความเห็นบน Facebook!

5 ความคิดเห็น :

  1. โอ้มาแว้วๆ
    รู้สึกไจแอนท์กับคนอื่นๆจะหายไปเลย TwT
    เห็นโนบิตะแล้ว...ทำไมนายหล่อแบบนี้นะ
    //กลับไปมองโนบิตะในการ์ตูนจริงๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขออภัยด้วยที่ไจแอนท์กับคนอื่นหายไป เป็นเพราะเราไม่ได้เขียนมากกว่า = ="

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ27 เมษายน 2556 เวลา 20:10

      หงายเงิบ 555

      สนุกครับ ขอบคุณครับ

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ27 พฤษภาคม 2556 เวลา 07:48

    พระเอกแนวนี้ชอบบังเอิญกับความโชคร้ายดีจริงๆ

    ตอบลบ