>> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban [เนื้อเรื่องส่วนที่ 14]
ออกสำรวจห้องทดลองนรก
หลังจากที่พวกโนบิตะรู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้มีไว้ทำอะไร พวกเขาก็มานั่งสุมหัวกันในห้องเพื่อปรึกษากันว่าจะเอาไงต่อดี และดูท่าว่าอาการของโนบิตะจะช๊อคหนักสุด....
เดคิสุงิบอกว่า นอกจากจะหาทางออกไปจากที่นี่แล้วพวกเขาก็จะต้องรวบรวมข้อมูลของสถานที่ที่เป็นความลับแห่งนี้ให้มากที่สุดด้วย (แผ่นซีดีที่เดคิสุงิถือนั้นเก็บข้อมูลของสไลด์ที่พวกเขาดูไว้หมดแล้ว) เพื่อที่จะใช้นำมาเป็นหลักฐานในการหยุดตัวการที่ก่อเรื่องทั้งหมดอย่างอัมเบรล่า
ซึ่งทางไจแอนท์ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เดคิสุงิพูดจึงเอามือเคาะโต๊ะและตัดสินใจว่าจะทำการสำรวจสถานที่แห่งนี้ก่อน
เดคิสุงิจึงแบ่งทีมออกเป็น 2 กลุ่มคือ ตัวเขา โดราเอม่อน ไจแอนท์ และซูเนโอะนั้นจะอาสาไปสำรวจตามชั้นต่างๆของห้องวิจัย
ปล่อยให้โนบิตะ ชิสุกะ ยาสุโอะ เคนจิ เซย์นะรออยู่ในห้องนี้ อันที่จริงเขาก็อยากจะให้โนบิตะไปด้วย แต่ด้วยสภาพจิตใจของเขาตอนนี้คงต้องอยู่ในช่วงพักฟื้นทำใจสักระยะ และอีกอย่างหนึ่งคือ การที่โนบิตะที่เป็นหนึ่งในคนที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงอยู่ในกลุ่มนี้จะดีกว่าเพราะจะได้เป็นการเจียดจำนวนผู้ที่ต่อสู้ได้ไว้เท่าๆกันทั้ง 2 กลุ่ม (เคนจิเองความจริงก็สู้ได้แต่เขาขอบายเนื่องจาก เขายังบาดเจ็บอยู่ แถมยังยิงปืนไม่เก่งเท่าพวกไจแอนท์ ถ้าหากต้องเผชิญกับพวกปีศาจบ้าพลังอย่างฮันเตอร์หรือเฟอโรวิเนอร์โต้อีก เขาคงจะเป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ)
เดคิสุงิจึงเปิดดู นาฬิกาในโทรศัพท์มือถืออีกครั้งซึ่งตอนนี้เป็นเวลาตี 4 กับ 15 นาที แถมมือถือก็ยังใช้โทรติดต่อไม่ได้อีกตามเคย... โดราเอม่อนจึงบอกกับโนบิตะว่าขอตัวไปกับพวกไจแอนท์ก่อน
พวกเดคิสุงิจึงไล่สำรวจดูไปทีละห้อง
ทางด้านไจแอนท์กับซูเนโอะนั้นก็เข้าไปสำรวจห้องๆหนึ่ง ซึ่งมีหนังสือข้อมูลอยู่เต็มไปหมด และก็พบกับข้อความรูปแบบจดหมายที่น่าสนใจเกี่ยวกับวางอยู่บนโต๊ะจึงเรียกให้ไจแอนท์เข้าไปอ่านดู
ข้อความในจดหมายนั้นเขียนโดยหนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานที่นี่ที่มีชื่อว่า "อากิระ (Akira)" เขียนข้อความถึงคนที่ชื่อ "ริน (Rin)" ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นคนรักของเขาบอกกับความทางจดหมายว่า..ตอนนี้เขาติดเชื้อและคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ขอให้เธอเอาข้อมูลทางการวิจัยที่เขารวบรวมมาที่เก็บซ่อนไว้ในชั้นใต้ดินมาเป็นหลักฐานในการเล่นงานอัมเบรล่าซึ่งเป็นหนทางการไถ่บาปของเขาที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการสร้างสิ่งที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติครั้งนี้ขึ้น พร้อมกับบอกวิธีปลดล๊อคห้องต่างๆที่ล๊อคด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้ด้วย
เมื่อไจแอนท์เห็นดังนั้น เขาคิดว่าข้อมูลนี้จะต้องมีประโยชน์กับเดคิสุงิแน่ จึงบอกให้ซูเนโอะไปเรียกเดคิสุงิที่อยู่ใกล้ๆกันมาเพื่อเตรียมเดินทางไปยังชั้นใต้ดินอีกชั้นต่อทันที
ขออนุญาตย้อนกลับไปที่เนื้อหาของเกมเล็กน้อยเนื่องจากข้อความของจดหมายจากนักวิจัยที่ชื่ออากิระเขียนถึงคนรักที่ชื่อรินนี้ก็ปรากฏในเกมเช่นเดียวกัน ซึ่งสถานที่ที่พบจดหมายนี้คือ..ห้องที่มีซอมบี้ตัวนึง ซึ่งในบทบาทนี้โนบิตะควรจะเป็นคนไปสำรวจ
หลังจากที่เก็บจดหมายได้โนบิตะจึงจัดการใช้ปืนยิงซอมบี้ในห้องนั้นทันที
และหลังจากที่สำรวจศพซอมบี้ตัวนั้นก็พบกับคีย์การ์ดประจำตัวที่ใช้ปลดล๊อคห้องบางอย่าง และพบว่าซอมบี้ตัวนั้นก็คือนักวิจัยที่ชื่ออากิระนั่นเอง
เนื้อหาในจดหมายของอากิระที่เขียนถึงรินนั้นมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน
ระบุวันที่ 14 เดือนกรกฏาคม ขึ้นตัวจดหมายด้วยคำว่า "ริน...ที่รัก"
ข้อความที่เขียนถึงรินบอกว่าตัวเองกำลังจะอยู่ได้อีกไม่นาน และจะจัดการสะสางธุระบางอย่างให้เรียบร้อย และขอทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นครั้งสุดท้ายนั่นคือการรวบรวมข้อมูลที่จะแฉความลับของอัมเบรล่า
อีกทั้งตนยังเป็นผู้ที่ทำการปิดล๊อคระบบรักษาความปลอดภัยในหลายๆห้องไม่ว่าจะเป็น ห้องที่เก็บอาวุธชีวภาพ หรือแม้แต่ลิฟต์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกสัตว์ประหลาดหลายๆตัวหลุดออกไปข้างนอก แต่ก็อาจจะเป็นจุดอ่อนตรงที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถหนีออกไปได้
เพื่อการนั้นเขาจึงบอกวิธีที่จะในการปลดล๊อกโดยการให้เข้าไปในห้องควบคุมหลัก (ด้วยกุญแจที่โนบิตะเก็บมาจากห้องฉายสไลด์) แล้วให้ล็อกอินโดยใช้ชื่อเขาซึ่งก็คืออากิระ (Akira) ส่วนรหัสนั้นเขาใช้ชื่อของเธอซึ่งก็คือ ริน (Rin)
หลังจากล็อกอินแล้ว ก็จะมีเมนูเลือกสถานที่ที่ใช้ในการปลดล๊อกต่อได้ ซึ่งได้แก่ลิฟต์ หรือแม้แต่ห้องที่เก็บผลงานอาวุธชีวภาพ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้ใส่รหัสไว้อีกชั้นซึ่งหาได้จากการนำฟิล์ม X-ray ไปฉายโค้ด ซึ่งจะมองเห็นรหัสลับของ "+@+*" นั่นคือรหัสผ่านสำหรับการปลดล๊อกห้องต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นรินแล้วคงจะรู้แน่นอน และสุดท้ายนี้เขาก็ขอร้องเธอว่า ถ้าเจอเขาอีกครั้งก็ขอให้ฆ่าเขาซะ...(เพราะรู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้อแล้วคงกลายเป็นซอมบี้ในไม่ช้า)
ลงท้าย "อากิระของคุณ"
เนื้อหาในส่วนนี้อยากจะบอกว่าแทบจะทำล้อเลียนเกมใน RE1 มาทั้งดุ้นเลยทีเดียว เพราะว่าในเกม RE1 ก็มีปริศนาการปลดล๊อกประตูอิเล็กทรอนิกส์แบบนี้เช่นกัน แถมเนื้อความในจดหมายนั้นยังใกล้เคียงกันอีก แต่จะมีการผสมเนื้อหาของเกม RE1 สองอย่างด้วยกัน เช่น จดหมายจากภาค RE1 แบบออริจินอล
อ้างอิงจาก >> http://planetresidentevil.gamespy.com/wiki/Resident_Evil_1_FilesResearcher's Letter [Original]
June 8, 1998 Dear Ada, Ada, by the time you read this, I'll be something... different. Today's test turned out to be positive, just as I expected. I feel like going crazy when I think about becoming one of them. Ada, you're not infected and I hope you never will be. In case you're the last one left, take the material in the Visual Data Room and go to the Power Room to operate the Triggering System before you escape. And make all this public through the media. If everything is in order, all the locks can be opened by the security system. You can access the system if you log in with my name from the terminal in the small lab and enter the password. The password is your name. To unlock the door at B2 where the Visual Data Room is located, you'll need to access with our names first and then enter another password.
I've written the code below. I'm sure you'll understand it easily. And this is my last hope - if you find me completely changed, please kill me yourself. PASSWORD: | \/ | /\ |\ | \/ | | /\ | \/ | | | | | /\ | | |
Yours, John
กับ จดหมายภาครีเมคที่บอกว่าจะหารหัสผ่านได้จากไหน
Researcher's Letter [Remake]
- June 8th, 1998
- My dearest Ada,
By the time you read this letter, I will no longer be the person you once knew. The results of my test came out today, and as I suspected, it came out positive.
I feel like I am teetering on the edge of reason just thinking about my impending doom. I would give anything not to have to become one of them.
As far as I know, you are not infected. I sincerely hope things do not reach such a desperate pass, but if it has turned out that you are now the last person remaining alive, I want you to get the material from the Visual Data Room.
As far as I know, you are not infected. I sincerely hope things do not reach such a desperate pass, but if it has turned out that you are now the before person remaining alive, I want you to get the material from the Visual Data Room.
Then, activate the Self-Destruct System in the Power Room, and escape from here. Please do everything in your power to make this whole accident public.
If everything is still running normally, you should be able to release all the locks using the Security System.
I have set up the terminal in the small security room so that you can log in to the system using my name and your name as the password.
You will need another password to release the lock of the door in Basement Level Two where the Visual Data Room is located.
As a safety measure I have coded that password into an X-ray picture; a roentgenogram. I know you, and I'm sure you will be able to work it out without any trouble.
There is just one more thing... and it is my before request. I hope you never have to lay eyes on me in this state, but if you do happen to run into me in my hideous form, I beg you to put me out of my misery. I hope you understand.
Thank you, Ada.
Yours truly,John
อ้างอิงจาก >> http://residentevil.wikia.com/Letter_of_a_Researcher
หลังจากที่อ่านจดหมายแล้วโนบิตะจึงเสาะแสวงหาข้อมูลแผ่นฟิล์ม X-Ray จนไปพบกับแผ่นฟิล์มที่ห้องๆหนึ่ง
โนบิตะจึงเดินมาที่ห้องที่สามารถล้างฟิล์มได้ ซึ่งระหว่างทางนั้นก็มีไจแอนท์กับซูเนโอะคอยคุ้มกันไปด้วย (พื้นที่บริเวณนั้นจึงมีศพพวกสัตว์ประหลาดเต็มไปหมด)
เมื่อล้างฟิล์มดูก็พบว่ามีอักขระข้อความที่เชื่อมโยงถึงกัน (ซึ่งทางเราเองขอข้ามวิธีการแก้ปริศนาพวกนี้)
และพบว่ารหัสที่ได้จากถอดรหัสแผ่นฟิล์มนั้นคือการเปลี่ยน +@+* เป็นคำว่า อดัม (ADAM) นั่นเอง
เมื่อได้ยูสเซอร์เนม (Username) / รหัสผ่าน (Password) และรหัสปลดล๊อกแล้ว โนบิตะจึงมุ่งหน้าไปยังห้องควบคุมหลักทันทีและอาศัยกุญแจที่ได้มาจากห้องฉายสไลด์ไขเข้าไป
ข้างในนั้นมีคอมพิวเตอร์ที่ตั้งโดดเด่นอยู่เครื่องหนึ่ง โนบิตะจึงเข้าไปสำรวจดู
คอมพิวเตอร์นั้นคือสิ่งที่จะใช้ในการปลดล๊อกห้องต่างๆที่อากิระพูดถึงนั่นเอง โดยมันต้องการให้ผู้ใช้คอมทำการล็อกอินเสียก่อน
Username ก็กรอกคำว่า AKIRA (อากิระ)
Password ก็กรอกคำว่า RIN (ริน)
การ Login สำเร็จ ต่อไปก็ทำการเลือกสถานที่ที่ต้องทำการปลดล็อก
ซึ่งได้แก่ห้อง E-03 ชั้น B2 , ลิฟต์ ชั้น B2 และ ห้องควบคุมพลังงานหลักชั้น B3 สรุปคือปลดล๊อกให้หมดนั่นแหละ...
และเมื่อเลือกสถานที่ได้ มันจะให้ใส่รหัสการปลดล๊อกก็ใส่คำว่า ADAM (อดัม) ลงไปก็เป็นอันเสร็จ และตอนนี้ห้องทุกห้องก็ทำการปลดล็อกหมดแล้ว
ตรงนี้ทำล้อเลียนการแก้ปริศนาในเกม RE1 คลิปข้างล่างเป๊ะเลย (ตั้งแต่การแก้ปริศนาด้วยข้อความบนจดหมาย และสำรวจรหัสแผ่นฟิล์มก่อนมากรอกข้อมูลในคอมพิวเตอร์) แค่ใช้ชื่อต่างกันคือ
จอห์น (John) > อากิระ (Akira)
เอด้า (Ada) > ริน (Rin)
[[ในซีรี่ย์ RE เอด้าก็เป็นคนรักของจอห์นเหมือนกันด้วย]]
โมล (Mole) ใน RE1 ภาคออริจินอล หรือ เซล (Cell) ใน RE1 ภาครีเมค > อดัม (ADAM)
หลังจากที่ปลดล๊อกห้องได้ ก็ขอข้ามกลับมาในโดจินอีกครั้ง ทางด้านเดคิสุงิที่อยู่ในห้องเดียวกับไจแอนท์ก็เปิดบันทึกอีกเล่มซึ่งเขียนโดยอากิระเช่นกัน ซึ่งมีใจความเขียนว่า สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าการทดลองด้วยที-ไวรัส (T-Virus) นั้นเป็นผลงานของปีศาจ ที่ไม่ควรมีตัวตนอยู่บนโลก เพราะถ้าหากมันแพร่ออกไปที่โลกภายนอกได้จะเกิดภัยร้ายแรง ซึ่งเขารู้สึกผิดมากที่ได้ไปร่วมมือกับคนพวกนี้ และขอให้ใครสักคนช่วยหยุดยั้งเรื่องพวกนี้ด้วย
เดคิสุงิจึงสนใจคำว่าที-ไวรัส ขึ้นมาในทันที เพราะเขาจำได้ว่ามันขึ้นต้นเหมือนกับสาร [T] ที่อยู่ในสไลด์ข้อมูลของ B.O.W. ซึ่งเขาคาดการณ์ไว้ว่ามันอาจจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดพวกสัตว์ประหลาดต่างๆ และตอนนั้นเองที่ไจแอนท์กับซูเนโอะเรียกให้เดคิสุงิลงไปดูชั้นใต้ดิน แต่ถึงอย่างไรก็ตามลิฟต์นั้นยังไม่สามารถใช้งานได้ ถึงแม้ไจแอนท์จะพยายามเปิด จนในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจลงบันไดต่อไป
เมื่อเขาไปข้างล่างพวกเขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่เห็นศพของนักวิจัยที่นอนขาดครึ่งอยู่บนพื้นเกาะประตูอยู่ ไจแอนท์ได้อ่านป้ายหน้าห้องดูก็พบว่ามันคือห้องคลังอาวุธฉุกเฉินและดูเหมือนว่าต้องการใช้คีย์การ์ดผ่านเข้าไปข้างใน ซูเนโอะจึงสังเกตเห็นคีย์การ์ดใกล้กับศพนักวิจัยตกอยู่บนพื้นไจแอนท์จึงพยายามเก็บดู และเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าศพนักวิจัยได้กลายเป็นซอมบี้พุ่งเล่นงานเขา ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นจึงระดมยิงใส่นักวิจัยทันที
หลังจากจัดการซอมบี้เสร็จพวกเขาจึงรูดการ์ดเข้าไปข้างในห้องและก็ต้องพบกับอาวุธจำนวนมากเรียงรายรอให้พวกเขาหยิบไปใช้ได้ตามใจชอบ (หวานหมูเลยทีนี้...)
ซูเนโอะได้เห็นดังนั้นจึงพูดว่าสุดยอดไปเลย ไจแอนท์กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไปทั้งหมดเลยดีไหม เดคิสุงิจึงตอบว่า เอาไปให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้นั่นแหละ (ถ้าเอาไปหมดได้เลยยิงดี) เพราะของพวกนี้เป็นของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ และคงไม่ได้กลับมาเอาอีกเป็นครั้งที่ 2 แล้ว
ไจแอนท์เห็นจำนวนปริมาณมหาศาลขนาดนั้นกำลังคิดอยู่ว่าจะเอาใส่กระเป๋ามิติที่ 4 ของโดราเอม่อนได้ไหม แต่เมื่อมองดูสีหน้าของโดราเอม่อนแล้วบ่งบอกว่า พวกเขาคงใช้งานกระเป๋า 4 มิติไม่ได้แน่นอน ซูเนโอะสนใจปืนชนิดหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังซึ่งเดคิสุงิบอกว่ามันคือเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี (RPG)
ไจแอนท์จึงบอกว่ามันคงจะเหมือนบาซูก้าหรือไม่ก็ร็อคเก็ตลันเชอร์เลยสินะ เดคิสุงิขี้เกียจอธิบายมากก็บอกว่าคล้ายๆกัน (อันที่จริงต้องบอกว่าเดี๋ยวค่อยไว้อธิบายรายละเอียดทีหลัง) และดูจากกระสุนสำหรับ RPG แล้วมันมีแค่ 2 ลูกเท่านั้น ท่าทางคงต้องใช้ประหยัดๆหน่อยแล้ว
และในตอนนั้นเองดูเหมือนว่าโทรศัพท์มือถือก็ดันอยู่ในจุดที่มีสัญญาณพอดีจึงได้โทรไปบอกเซย์นะว่าตอนนี้พวกเขาทั้ง 4 (เดคิสุงิ โดราเอม่อน ไจแอนท์ ซูเนโอะ) อยู่ที่คลังอาวุธแล้วและจะนำกลับไปให้ได้มากที่สุดด้วย
สักพักไจแอนท์ก็ได้ยินเสียงแกร่กๆอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆ จึงบอกให้เดคิสุงิรู้ เดคิสุงิจึงตัดสินใจที่จะเดินไปสำรวจล่วงหน้าก่อน
ขออนุญาติกลับไปอยู่ในเกมอีกครั้ง ซึ่งคลังเก็บอาวุธที่อยู่ในเกมนั้นมีจริงๆ และสิ่งที่ใช้ไขเข้าไปได้ก็คือคีย์การ์ดที่ได้จากศพของนักวิจัยที่ชื่ออากิระ ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า..ศพที่พวกไจแอนท์เจอหน้าคลังอาวุธนั้นคืออากิระนั่นเอง
เดคิสุงิได้มองเห็นสิ่งๆหนึ่งที่อยู่ในห้อง ก็พบกับร่างของนักวิจัยผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูสะบักสะบอมกำลังคุดคู้กำอะไรบางอย่างไว้ในมือ เขาสงสัยมากว่าคนๆนี้ตายหรือยังและดูเหมือนว่าเธอกำลังปกป้องอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งไจแอนท์เองก็มองเห็นเช่นกัน และบอกว่าขอเป็นคนอาสาเดินเข้าไปเก็บมาเอง ในตอนนั้นที่เดคิสุงิสังเกตเห็นรอยแผลที่เกิดขึ้นบนร่างกายของผู้หญิงคนนั้นและเขารู้สึกไม่ดีบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า..รอยแผลแบบนี้มันไม่ใช่ซอมบี้แล้ว มันเหมือนกับถูกสัตว์ประหลาดกระชากมากกว่า เดคิสุงิจึงบอกให้ไจแอนท์รีบออกมาจากห้องนั้นทันที!!
แต่มันสายไปแล้ว...ประตูห้องนิรภัยได้ถูกปิดลงอย่างสมบูรณ์พร้อมกับเสียงประกาศแจ้งเตือนว่า
"ไม่มีการยืนยัน ID สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าห้อง ระบบจึงทำการปิดล๊อกและดำเนินการกำจัดผู้บุกรุก..."
ไจแอนท์ที่อยู่ข้างในนั้นได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ลงมา ซึ่งเขารู้สึกว่ามันเป็นเสียงลิฟต์ ทันใดนั้นประตูลิฟต์ก็ได้เปิดออกพร้อมกับมีสุนัขซอมบี้เคลเบรอสปรากฏตัวออกมา มันจึงพุ่งเข้าโจมตีใส่ไจแอนท์ทันที เดคิสุงิจึงพยายามหาวิธีเปิดประตูสุดชีวิต
ตัดกลับไปทางด้านโนบิตะที่ได้ยินสัญญาณประกาศการแจ้งเตือนเมื่อสักครู่เช่นกัน เซย์นะรู้สึกตกใจกับการแจ้งเตือนของระบบนั้นมาก
ทางด้านเคนจิเองก็คิดว่าคงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพวกไจแอนท์แน่
และตอนนั้นเองที่โนบิตะพูดขึ้นว่า...ไปกันเถอะ..
พร้อมกับวิ่งออกไปโดยที่ไม่รอเพื่อนที่เหลือ เคนจิจึงพยายามห้ามไว้แต่ก็ไม่สามารถรั้งโนบิตะไว้ได้
ตัดกลับมาทางด้านเดคิสุงิซึ่งกำลังคิดหนักว่าจะช่วยไจแอนท์ออกมายังไงดี และในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นแท่นควบคุมบางอย่างที่อยู่ข้างประตูห้องขังมันเป็นจุดอะไรสักอย่างและเมื่อเขาแตะมันก็พบว่ากรอบสี่ด้านที่อยู่รอบปุ่มที่เขากดจะปรากฏสัญลักษณ์ตรงข้ามกับที่มันเคยเป็นซึ่งดูแล้วเหมือนกับเป็นพัซเซิล (Puzzle) แบบหนึ่ง
ทางด้านไจแอนท์ที่อยู่ข้างในได้ใช้ปืนลูกซองจัดการเคลเบรอสได้ 1 ตัวคิดว่า เรื่องมันจะจบลงแล้ว แต่ที่ไหนได้ ระบบได้ทำการประกาศเตือนออกมาว่า..
"เป้าหมายยังมีชีวิตอยู่ จะทำการเพิ่มระดับระบบการทำลายผู้บุกรุกเป็นระดับ 2 เริ่มต้นได้"
เมื่อได้ยินดังนั้นไจแอนท์จึงสบถออกมาพร้อมกับรู้ทันทีว่า..ความยากในการเอาตัวรอดของเขานั้นจะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆเสียแล้ว หลังจากนั้นเดคิสุงิก็พบว่าที่แผงควบคุมนั้นมีเวลานับถอยหลัง 1 นาทีในการแก้พัซเซิลเพื่อช่วยเหลือคนที่อยู่ข้างใน ก่อนที่ระบบกำจัดผู้บุกรุกนั้นจะทำการใช้ระดับในการจัดการผู้บุกรุกระดับสูงสุด
หากใครเคยอ่านภาคออริจินอลนั้นอาจจะจำได้ว่ามันคือห้องขังที่ใช้ขังไจแอนท์ในเนื้อเรื่องภาคออริจินอลนั่นเอง โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Original + Remake [เนื้อเรื่องส่วนที่ 7 - ตอนจบ] และวิธีการแก้ปริศนานั้นก็ใช้วิธีเดียวกันเสียด้วย แต่ลักษณะจะแตกต่างจากภาคออริจินอลตรงที่ ในภาคออริจินอลไจแอนท์จะถูกปลดอาวุธตั้งแต่ต้นแล้วภายใน 1 นาที จะมีเวลาจำกัดในการช่วยไจแอนท์ก่อนที่ระบบจะปล่อยเคลเบรอสออกมา แต่ในครั้งนี้จะต่างกันตรงที่ความยากจะโหดหินขึ้น
ไจแอนท์จะสามารถรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้หรือไม่...เพื่อนของเขาจะสามารถช่วยออกมาได้ทันเวลาไหม...
แล้วก็..ข้อมูลเพิ่มเติมอีกอย่างในส่วนท้ายของโดจินคือ....
ร่างของผู้หญิงที่พวกไจแอท์พบในห้องกับดักนั้นก็คือ..ซาคาเอะ ริน (Sakae Rin) คนรักของอากิระนั่นเอง... และทำไมเธอถึงได้มีสภาพนั้นได้ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป
ซาคาเอะ ริน หนึ่งในทีมสมาชิกนักวิจัยของอัมเบรล่าสาขาญี่ปุ่น
คนรักของอากิระที่เป็นนักวิจัยเพื่อนร่วมงาน (ในวงเล็บเขียนว่า "ตอนยังมีชีวิตอยู่")
สถานะสมาชิกปาร์ตี้ในปัจจุบัน
ทาเคชิ (ไจแอนท์) สถานะ : ปกติ (Fine)
อาวุธหลัก : ปืนลูกซอง (Franchi SPAS-12 - ปืนลูกซองที่สามารถสลับระบบเป็นปั๊มแอ็คชั่นหรือกึ่งอัตโนมัติได้)
อาวุธรอง : ปืนพก (ปืนพกแม็กนั่มที่รองรับขนาดกระสุนได้ถึง .50AE) ,เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี (RPG-7 - ปืนยิงหัวรบต่อต้านยานเกราะ)
ซูเนโอะ สถานะ : ปกติ (Fine)
อาวุธหลัก : ปืนไรเฟิล (Remington Bolt-Action Rifle - ปืนยาวล่าสัตว์แบบดึงคันรั้ง 1 ครั้งต่อ 1 นัด)
อาวุธรอง : ปินพก (Colt M1911 - ปืนพกที่ใช้กระสุนขนาด .45ACP (รุนแรงกว่า 9mm))
เดคิสุงิ สถานะ : ปกติ (Fine)
อาวุธหลัก : ปืนกล (M16A2 - ปืนเล็กยาวจู่โจมมาตรฐานกองทัพสหรัฐอเมริกา)
อาวุธรอง : ปินพก (Beretta 92 - ปืนพก 9 mm)
**สนับสนุนข้อมูลปืนโดยคอมเม้นข้างล่าง**
โดราเอม่อน สถานะ : ปกติ (Fine)
อาวุธหลัก : ปืนอัดอากาศพลังสูง
บทสรุป - พวกไจแอนท์ 4 คนได้ทำการสำรวจข้อมูลชั้นใต้ดินและพบเบาะแสการรวบรวมข้อมูลของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่นั่นผ่านทางจดหมายของนักวิจัยที่ชื่ออากิระที่เขียนถึงคนรักที่ชื่อรินไว้ในเอกสารแห่งหนึ่งในชั้นใต้ดิน และในตอนนั้นเองที่เดคิสุงิได้พบกับข้อมูลการพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าที-ไวรัสในบันทึกของอากิระและคาดว่าคำตอบอยู่ในเอกสารที่อากิระซ่อนไว้และให้รินนำสิ่งนั้นนำไปใช้เป็นหลักฐานเอาผิดอัมเบรล่าที่สร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เมื่อถึงชั้นใต้ดินพวกไจแอนท์ก็พบกับอากิระที่กลายเป็นซอมบี้แล้วจึงได้ฆ่าเขาและนำคีย์การ์ดของเขาเปิดห้องคลังอาวุธ เพื่อขนอาวุธทั้งหมดไปใช้ และเดินสำรวจต่อจนมาพบกับร่างของรินในสภาพสะบักสะบอมที่ปกป้องอะไรบางอย่างในห้อง เมื่อไจแอนท์เดินเข้าไปก็พบว่าเขาติดกับดักที่เป็นห้องทดสอบการทำงานของอาวุธชีวภาพเสียแล้ว...
บทความต่อไป >> โดราเอม่อนกับโนบิตะลุยไบโอฮาซาร์ด Muda ni Kaizouban [เนื้อเรื่องส่วนที่ 16]
ขยันมากๆเลย...รอลุ้นอยู่นะคะ สู้ๆเป็นกำลังใจให้ >w<
ตอบลบวันนี้ลงแค่นี้แหละจ้า รอตอบคอมเม้นอย่างเดียว ต้องรีบทำหน่อยเพราะเกมซีรี่ย์นี้มีหลายภาค และอยากจะทำเป็นส่วนนำร่องที่อำนวยความสะดวกในการแปลให้คุณjinoga ที่ทำโดจินแปลไทยด้วย. ตอนหลังเรื่องเกมนี้แปลยากมากเพราะมันเน้นข้อมูลด้านบันทึกล้วนๆเลย
ตอบลบสวัสดีครับ บทนี้เป็นสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นจริงๆนะครับ ว่าแต่ไจแอนด์นี่พกอาวุธได้บ้าพลังมากๆเลยนะครับ แค่ RPG ที่ขนมานั้นก็ปาเข้าไป 7 กิโลแล้วนะนั้น(ฮา) แข็งแรงเกินเด็กไปเปล่าเนี่ย
ตอบลบเห็นภาพสรุปแล้วเกิดอยากแกะอาวุธแต่ละคนขึ้นมาเลย(ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมาก แต่พอมองคร่าวๆออก+ค้นหาต่อ)
ไจแอนด์(ทาเคชิ)
1.Franchi SPAS-12 - ปืนลูกซองที่สามารถสลับระบบเป็นปั๊มแอ็คชั่นหรือกึ่งอัตโนมัติได้
2.Desert Eagle - ปืนพกแม็กนั่มที่รองรับขนาดกระสุนได้ถึง .50AE (ถ้าไจแอนด์ใช้รุ่นที่รองรับกระสุน .50AE จริงล่ะก็ ปืนรีวอลโวของโนบิตะจะ"เด็ก"ไปเลย)
3.RPG-7 - ปืนยิงหัวรบต่อต้านยานเกราะขวัญใจมหาชน
*ไจแอนด์โหดมาก
ซูเนโอะ
1.Remington Bolt-Action Rifle (เดาไม่ออกว่ารุ่นไหน) - ปืนยาวล่าสัตว์แบบดึงคันรั้ง 1 ครั้งต่อ 1 นัด
2.Colt M1911 - ปืนพกที่ใช้กระสุนขนาด .45ACP (รุนแรงกว่า 9mm)
เดคิซุงิ
1.M16A2(ขึ้นไป) - ปืนเล็กยาวจู่โจมมาตรฐานกองทัพสหรัฐอเมริกา
2.Beretta 92 - ปืนพก 9 mm ขวัญใจมหาชน(แบบเดียวกับที่โนบิตะใช้)
*เพิ่มเติมเรื่องรีวอลโวที่โนบิตะใช้ในโดจินของคุณ diodio ดูตามลักษณะจริงๆแล้วไม่ใช่ Colt Python .357 Magnum แต่เป็น Smith & Wesson's M29 ซึ่งรองรับกระสุน .44 Magnum และ .44 Special (ใหญ่กว่าอีก) ส่วนที่อยู่ใน RE1 เป็น Colt Python นั้นถูกต้อง
** แก้ไขอาวุธเดคิซุงิ จาก "M16A2(ขึ้นไป)" เป็น "M16A1" (เพิ่งได้เห็นรูปใหญ่)
ลบขอบคุณมากสำหรับข้อมูลอาวุธค่ะ ดีเลยที่มีคนให้ความรู้ + คำแนะนำเพิ่มเติม เพราะทางเรานี่ไม่รู้เรื่องของอาวุธเลย ต้องให้ลหายคนช่วยกันดู
ลบโอเค เรื่องของอาวุธอันนี้เดี๋ยวทางเราจะหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ท่านบอกเล็กน้อย (เดี๋ยวจะอธิบายปืนโคลท์ไพธ่อนในส่วนของโนบิตะเพิ่มเติมด้วย แต่การเรียกหลักๆตอนเล่าเรื่องขออนุญาตเรียกโคลท์ไพธ่อนต่อไป)
แต่อาจจะมาแก้ช่วงหลังวันศุกร์เพราะพรุ่งนี้ + มะรืนนี้ติดธุระทั้งวัน และกลับดึกมากไม่รู้ว่าจะได้มาเขียนหรือเปล่า
ฮา เรื่องไจแอนท์ขนอาวุธเยอะอันนี้ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเอาเข้าจริงไจแอนท์ก็เป็นตัวละครที่เว่อร์ตั้งแต่ซีรี่ย์โดราเอม่อนอยู่แล้ว เพราะเป็นเด็กที่ตัวใหญ่และมีพลังมหาศาลเทียบเท่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว (ตอนพิเศษสุริยกษัติร์ย์ยังดวลหอก 1-1 กับไอ้บ้าพลังฝ่ายแม่มดได้เลย)
ตัวละครในเรื่องโดราเอม่อนในซีรี่ย์นี้น่ะ...เราถึงไม่กล้าเขียนว่า ป.5 เราเลยใช้คำว่าปี 5 (อาจจะเป็นการบอกใบ้ว่าจะเป็น ม.5 ก็ได้ หรือ ป.5 ก็ได้ หึหึ)
แถมตอนหลังตัวละครแต่ละตัวมีแนวโน้มจะเว่อร์กว่านี้ได้อีก ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาการที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว
รักคน แปลที่ สวดดดเลยอ่ะะะ ชอบมากเลยยย ขอบใจนะ เป็นกำลังใจให้น๊ะ >,,,,<
ตอบลบกำลังมันส์เลย ชอบ ๆ รอติดตามครับ
ตอบลบตอนต่อไปอาจจะลงช้าหน่อยน้า
ตอบลบ